เรียบเรียงโดย
วชิรวัชร งามละม่อม
Wachirawachr Ngamlamom
ในอดีตประเทศไทยมีการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
โดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขทรงมีพระราชอำนาจโดยสมบูรณ์แต่เพียงประองค์เดียว
ทรงใช้อำนาจทั้งในด้านนิติบัญญัติอำนาจบริหาร อำนาจตุลาการ และทรงแต่งตั้งข้าราชการ
ขุนนางไปปกครองหัวเมืองต่างๆ
ในที่นี้อาจกล่าวได้ว่า
ในที่นี้อาจกล่าวได้ว่า
พระมหากษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้น
ทรงอยู่เหนือรัฐธรรมนูญและกฎหมายใดๆ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้ตรากฎหมาย
ทรงตัดสินและพิจารณาอรรถคดี ทรงบริหารประเทศ
ดังนั้นประชาชนจึงต้องปฏิบัติตามพระบรมราชโองการ
ใครฝ่าผืนไม่ได้
พระมหากษัตริย์ทรงมีอำนาจสูงสุดและประชาชนต้องปฏิบัติตามและที่ผ่านมาประเทศไทยได้มีรูปแบบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
ใน 4 สมัยดังนี้คือ
1. สมัยอาณาจักรสุโขทัย (พ.ศ.
1800-1921)
2. สมัยอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา
(พ.ศ. 1893-2310)
3. สมัยอาณาจักรกรุงธนบุรี และ
สมัยอาณาจักรรัตนโกสินทร์ตอนต้น (พ.ศ. 2310 - 2325)
4.
สมัยการปฏิรูปการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 5 จนกระทั่งถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475
1. สมัยอาณาจักรสุโขทัย (พ.ศ. 1800-1921)
ในสมัยนี้มีการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือราชาธิปไตย
ซึ่งเป็นรูปแบบการปกครองที่พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยอันเป็นอำนาจสูงสุดในการปกครองและทรงใช้อำนาจนี้ในการออกกฎหมายเรียกว่าอำนาจนิติบัญญัติ
ทรงบริหารกิจการบ้านเมืองเรียกอำนาจนี้ว่าอำนาจบริหารราชการแผ่นดิน
และทรงพิจารณาอรรถคดีทรงพิพากษาและตัดสินคดีความต่างๆ ทุกวันธรรมะ
ส่วนด้วยพระองค์เอง
เรียกอำนาจนี้ว่าอำนาจตุลาการ
จะเห็นได้ว่าพระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจนี้เพียงพระองค์เดียว
และทรงใช้อำนาจบนพื้นฐานของหลักธรรมประชาชนอยู่ร่มเย็นเป็นสุข ในสมัยอาณาจักรสุโขทัยมีลักษณะการปกครองโดยใช้คตินิยมในการปกครองแบบครอบครัวหรือ
“พ่อปกครองลูก”
มาเป็นหลักในการบริหารประเทศ
โดยในสมัยนั้นพระมหากษัตริย์ใกล้ชิดกับประชาชนมาก
ประชาชนต่างก็เรียกพระมหากษัตริย์ว่า “พ่อขุน” ซึ่งมีลักษณะเด่นที่สำคัญ ดังต่อไปนี้
- พ่อขุนเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตย
โดยปกครองประชาชนบนพื้นฐานของความรัก ความเมตตาประดุจบิดาพึงมีต่อบุตร
บางตำราอธิบายว่าเป็นการปกครองแบบพ่อปกครองลูกหรือแบบ “ปิตุราชาประชาธิปไตย”
- พ่อขุนอยู่ในฐานะผู้ปกครองและประมุขของประเทศที่มีอำนาจสูงสุดแต่เพียงผู้เดียว
- ประชาชนมีสิทธิและเสรีภาพในการดำเนินชีวิตพอสมควร
ดังจะเห็นได้จากศิลาจารึกอธิบายว่า
“......ใครใคร่ค้า ค้า
เอาม้ามาค้าเอาข้าวมาขาย....” อาจกล่าวได้ว่าผู้ปกครองและผู้อยู่ภายใต้การปกครองมีฐานะเป็นมนุษย์เหมือนกัน
- รูปแบบการปกครองเป็นไปแบบเรียบง่ายไม่มีพิธีอะไรมากมายนัก
ไม่มีสถาบันการเมืองการปกครองที่สลับซับซ้อนมาก
- มีการพิจารณาคดีโดยใช้หลักประกันความยุติธรรม
เช่น เมื่อพลเมืองผิดใจเป็นความกันจะมีการสอบสวนจนแน่ชัดจึงตัดสินโดยยุติธรรม
ในศิลาจารึกเขียนไว้ว่า “ลูกเจ้าลูกขุนแลผิดแผกแสกกว้างกัน สวนดูแท้แลจึ่งแล่งความแก่ข้าด้วย ซื่อ
บ่เข้าผู้ลักมักผู้ซ่อน....”
นอกจากจะทรงวางรากฐานทางการปกครองแล้วในสมัยสุโขทัยยังทรงประดิษฐ์อักษรไทยเปิดโอกาสให้คนได้เรียนรู้ภาษา
รู้ธรรมและกษัตริย์บางพระองค์ ก็ได้ชื่อว่าเป็นกษัตริย์แบบธรรมราชา
การปกครองจึงมีรูปแบบธรรมราชาด้วย ซึ่งมีหลักการ คือ
ความเชื่อที่ว่าพระราชอำนาจของกษัตริย์จะต้องถูกกำกับด้วยหลักธรรมะ
ประชาชนจึงจะอยู่เย็นเป็นสุข เมื่อสิ้นพระชนม์ก็จะได้ไปสู่สวรรค์จึงเรียกว่า
สวรรคตหลักธรรมสำคัญที่กำกับพระราชจริยวัตร คือ ทศพิธราชธรรม
และจักรวรรดิวัตร 12 ประการ
และจักรวรรดิวัตร 12 ประการ
2. สมัยอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา (พ.ศ.
1893-2310)
พระเจ้าอู่ทองทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา
เป็นช่วงของการก่อร่างสร้างเมืองทำให้ต้องมีผู้นำในการปกครองเพื่อรวมรวมอาณาจักรให้แผ่ขยาย
มีการติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านในเรื่องการค้าและศาสนา และในช่วงเวลานั้นมีการเผยแพร่ของลัทธิฮินดูและขอมเข้ามามีบทบาทในอาณาจักร
ดังนั้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาจึงได้รับวัฒนธรรมการปกครองแบบขอมและฮินดูเข้ามาใช้
เรียกการปกครองแบบนี้ว่า “การปกครองแบบเทวสิทธิ์” หรือ “สมมติเทพ”
โดยมีหลักการสำคัญ คือ
- กษัตริย์เปรียบเสมือนเทพเจ้าที่มีอำนาจสูงสุด
ทรงเป็นเจ้าชีวิต คือ
พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจเหนือชีวิตของบุคคลที่อยู่ในสังคมทุกคน
และทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดิน คือ
ทรงเป็นเจ้าของแผ่นดินทั่วราชอาณาจักรและพระมหากษัตริย์จะทรงพระราชทานให้ใครก็ได้ตามอัธยาศัย
- การที่พระมหากษัตริย์ทรงอยู่ในฐานะเป็นสมมุติเทพ
ตามคตินิยมของพราหมณ์ จึงต้องมีระเบียบพิธีการต่าง ๆ
มากมายแม้แต่ภาษาที่ใช้กับพระมหากษัตริย์ก็ได้บัญญัติขึ้นใช้เฉพาะกับพระมหากษัตริย์เท่านั้นที่เราเรียกว่า
“ราชาศัพท์”
- กษัตริย์ในสมัยกรุงศรีอยุธยาต้องเข้าพิธีปราบดาภิเษก
ซึ่งถือว่าเป็นการขึ้นสู่ราชบัลลังก์โดยชอบธรรม
ดังนั้นพระมหากษัตริย์จึงจำเป็นต้องมีกลุ่มหรือคณะบุคคลสนับสนุน
และให้ประโยชน์ตอบแทนอันเป็นยศถาบรรดาศักดิ์หรือศักดินาแก่กลุ่มบุคคลดังกล่าว
- เกิดระบบทาสขึ้น
หมายถึง บุคคลที่ใช้แรงงาน โดยทาสในสมัยกรุงศรีอยุธยาอนุญาตให้เสนาบดี ข้าราชบริพารและประชาชนที่ร่ำรวยมีทาสได้
และผู้ที่ใช้แรงงานเมื่อตกเป็นทาสก็ถือว่านายเงินเป็นเจ้าของ เจ้าของอาจซื้อ ขาย
แลกเปลี่ยน หรือยกทาสให้ผู้อื่นได้ ดังนั้นจึงนำมาสู่การเกิดชนชั้นทางสังคม
อาจกล่าวได้ว่าประชาชนผู้อยู่ใต้การปกครองมีฐานะไม่เท่ากัน
จากการที่อาณาจักรกรุงศรีอยุธยา
ได้รับแนวคิดทางการเมืองการปกครองจากเขมรมากขึ้น
ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านการปกครองและในด้านสังคมไม่ว่าจะเป็น
พระมหากษัตริย์ทรงเป็นเทวราชหรือเทวดาโดยสมมุติ, การเกิดระบบศักดินาขึ้นครั้งแรกในสังคมไทย,
การเกิดการปกครองแบบนายกับบ่าว, มีการแบ่งชั้นทางสังคมชัดเจน
นอกจากนี้ในสมัยอยุธยายังต้องทำศึกสงครามเกือบตลอดเวลา
จึงมีความจำเป็นที่จะต้อง
มีการเกณฑ์ไพร่พลเพื่อป้องกันประเทศ จึงเกิดระบบไพร่และมูลนายด้วยเช่นกัน
มีการเกณฑ์ไพร่พลเพื่อป้องกันประเทศ จึงเกิดระบบไพร่และมูลนายด้วยเช่นกัน
3. สมัยอาณาจักรกรุงธนบุรีและสมัยอาณาจักรรัตนโกสินทร์ตอนต้น
(พ.ศ. 2310-2325)
3.1) ลักษณะการปกครองสมัยอาณาจักรกรุงธนบุรี
เนื่องจากสมัยอาณาจักรกรุงธนบุรี
เป็นช่วงที่ไทยได้เสียกรุงให้กับพม่า ครั้งที่ 2ในปี พ.ศ. 2310
เกิดความแตกแยกกันเป็นกก เป็นเหล่ายังรวมกันไม่ติด
และสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงเห็นว่า
กรุงศรีอยุธยาอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถทำนุบำรุงให้คงสภาพเดิมได้ อีกทั้งข้าศึกศัตรูก็รู้ลู่ทางดีและเมื่อถึงคราวน้ำหลาก ปัญหาต่างๆ ก็ตามมามาก สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีจึงทรงย้ายมาตั้งเมืองหลวงที่กรุงธนบุรี และตลอดรัชสมัยของพระองค์ พระองค์ทรงทำศึกสงครามเพื่อรวบรวมประเทศไทยให้เป็นฝึกแผ่น ทำการกอบกู้เอกราชมาโดยตลอด ดังนั้น ตลอดระยะเวลา 15 ปีพระองค์จึงไม่ได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองแต่อย่างไร ดังนั้นในสมัยกรุงธนบุรีอาจกล่าวได้ว่ายังคงใช้รูปแบบการปกครองแบบระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อยู่
กรุงศรีอยุธยาอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถทำนุบำรุงให้คงสภาพเดิมได้ อีกทั้งข้าศึกศัตรูก็รู้ลู่ทางดีและเมื่อถึงคราวน้ำหลาก ปัญหาต่างๆ ก็ตามมามาก สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีจึงทรงย้ายมาตั้งเมืองหลวงที่กรุงธนบุรี และตลอดรัชสมัยของพระองค์ พระองค์ทรงทำศึกสงครามเพื่อรวบรวมประเทศไทยให้เป็นฝึกแผ่น ทำการกอบกู้เอกราชมาโดยตลอด ดังนั้น ตลอดระยะเวลา 15 ปีพระองค์จึงไม่ได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองแต่อย่างไร ดังนั้นในสมัยกรุงธนบุรีอาจกล่าวได้ว่ายังคงใช้รูปแบบการปกครองแบบระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อยู่
3.2) ลักษณะการปกครองสมัยอาณาจักรรัตนโกสินทร์ตอนต้น
ในสมัยอาณาจักรกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นนั้น
ประเทศไทยใช้รูปแบบการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ตามแนวของอาณาจักรกรุงศรีอยุธยาไม่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเช่นกัน
เพราะพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงก่อร่างสร้างเมืองปราบปรามข้าศึกศัตรูโดยเฉพาะพม่า
ทำให้ในเรื่องการปกครองไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงรัชกาลที่ 3
มีการเข้ามาของลัทธิล่าอาณานิคมประกอบกับประเทศไทยมีลักษณะเป็นรัฐกันชนทำให้เป็นที่สนใจของมหาอำนาจ
ดังนั้นจึงส่งผลให้มีการปฏิรูปทั้งในด้านการเมืองการปกครองรวมทั้งทางด้านสังคมและวัฒนธรรม
ซึ่งปรากฏผลอย่างชัดเจนในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
4) สมัยการปฏิรูปการปกครองในสมัยรัชกาลที่
5 จนกระทั่งถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครองวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475
ผลจาการเข้ามาของลัทธิล่าอาณานิคมและปัญหาความขัดแย้งภายในประเทศ
ส่งผลให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นความสำคัญของการปกครอง
และความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
จึงได้ทำการปฏิรูปการปกครองและการบริหารราชการแผ่นดินในวันที่ 1 เมษายน 2435 หรือ ร.ศ.111 ซึ่งมีหลักการที่สำคัญ คือ
- ทรงปฏิรูปการปกครองโดยการกำหนดให้มีการปกครองส่วนกลาง
มีการจัดตั้งกระทรวง ทบวงกรมและนำเอาระบบบริหาราชการแบบแบ่งแยกโครงสร้างอำนาจหน้าที่
(Structural Functionalism) มาใช้ในการบริหารประเทศ
นอกจากนี้ยังได้กำหนดให้มีการปกครองส่วนภูมิภาค
โดยทรงรวบรวมหัวเมืองให้เป็นหน่วยการปกครองใหม่เรียกว่า “มณฑล”
และแบ่งส่วนความรับผิดชอบโดยแบ่งเป็นมณฑลเทศาภิบาล เมือง อำเภอตำบล
หมู่บ้าน นอกจากนี้ยังทรงจัดตั้งสุขาภิบาลขึ้น
และเริ่มทดลองการกระจายอำนาจเป็นครั้งแรก ให้กับหน่วยการปกครองสุขาภิบาล
- ทรงทำการปฏิรูปในด้านสังคมและวัฒนธรรมอย่างชัดเจน
เช่น การยกเลิกระบบไพร่ ทาส,
การปรับปรุงด้านการศึกษา, การนำเอาวิทยาการต่าง
ๆ มาปรับใช้ เช่น โทรเลข โทรศัพท์ รถไฟและการเปลี่ยนแปลงการแต่งกายการเข้าเฝ้า
ซึ่งโดยรวมเรียกว่าเป็นกระบวนการพัฒนาให้เกิดความทันสมัยในด้านต่าง ๆ (Modernization)
เพื่อแสดงให้เห็นว่าไทยเป็นอารายะประเทศหนึ่งในกระบวนการพัฒนาให้เกิดความทันสมัยที่สำคัญ
ได้แก่ การที่พระราชวงศ์และขุนนางชั้นสูงได้เดินทางไปรับการศึกษายังต่างประเทศ
ซึ่งเมื่อได้เดินทางกลับมาก็ได้นำเอาแนวคิดและอารยธรรมทางตะวันตก
รวมทั้งแนวคิดทางด้านการเมืองการปกครองเข้ามาด้วยเช่นกัน ส่งผลให้เกิดแนวคิดในการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้เกิดเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกอันรวมไปถึงประเทศไทยด้วยเช่นกัน
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้แก้ปัญหาโดยทำการปลดข้าราชการให้มีจำนวนน้อยลงเพื่อการประหยัด
ทำให้ข้าราชการโดยเฉพาะทหารไม่พอใจ
ต่อมาภายหลัง
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เกิดวิกฤติการณ์ทางการเมืองขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
นั่นคือสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปลดข้าราชการออกมากขึ้นรวมทั้งบรรดานายทหารชั้นนำก็ถูกลดขั้นเงินเดือน
ซึ่งแนวคิดและปัญหาดังกล่าวได้กลายเป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่ง
ที่ก่อให้เกิดการปฏิวัติหรือการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยกลุ่มบุคคลที่เรียกตนเองว่า
“คณะราษฎร”
ส่งผลให้ประเทศไทยได้เปลี่ยนรูปแบบการปกครองจากรูปแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นรูปแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในวันที่
24 มิถุนายน 2475
เอกสารอ้างอิง
ลิขิต ธีรเวคิน. (2541). การเมืองการปกครองไทย.
กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
ลิขิต ธีรเวคิน.
(2544). วิวัฒนาการการเมืองการปกครองไทย. กรุงเทพฯ:
สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
นคร
พจนวรพงษ์และอุกฤษ พจนวรพงษ์.
(2543). เหตุการณ์ทางการเมืองที่สำคัญๆ
พ.ศ. 2475 – ปัจจุบันการเลือกตั้งทุกครั้งและการจัดตั้งรัฐบาลทุกสมัย.
กรุงเทพฯ:
โรงพิมพ์ไทยวัฒนาพานิชจำกัด.
โรงพิมพ์ไทยวัฒนาพานิชจำกัด.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น