กระแสโลกาภิวัตน์กับสังคมไทย
เรียบเรียงโดย
วชิรวัชร งามละม่อม
Wachirawachr Ngamlamom
ในกระแสยุคโลกาภิวัตน์
สังคมโลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรอบด้าน
ปัจจัยสำคัญที่เป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวคือ การดำเนินนโยบายการพัฒนาในลักษณะของการพึ่งพา
ซึ่งมีลักษณะสำคัญดังนี้ คือ
1.
เศรษฐกิจรอบนอกอยู่ภายในสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ
ระบบเศรษฐกิจของประเทศรอบนอกถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของระบบทุนนิยม
โลกภายนอกนั้นไม่สามารถเข้าใจได้
ถ้าไม่อ้างอิงถึงแรงกระตุ้นทางเศรษฐกิจของระบบเศรษฐกิจทุนนิยมของประเทศพัฒนา
ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบต่อการสะสมทุนในประเทศทุนนิยมรอบนอก
และต่อการดึงเอาระบบเศรษฐกิจดั้งเดิม (ที่ยังไม่ได้เป็นระบบทุนนิยม) เข้ามารวมอยู่ในระบบทุนนิยมโลก
2.
การเชื่อมโยงระหว่างชนชั้นนำในประเทศกับระหว่างประเทศ
การเชื่อมโยงทางโครงสร้างระหว่างชนชั้นนำภายในประเทศกับภายนอกประเทศนี้
ไม่เพียงแต่ขึ้นอยู่กับรูปแบบภายนอกของการกอบโกยผลประโยชน์และบีบบังคับเท่านั้น
แต่มีรากฐานอยู่ที่การมีผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างชนชั้นนำภายในกับภายนอกประเทศอีกด้วย
ชนชั้นนำหรือชนชั้นปกครองในประเทศรอบนอกจะเป็นพันธมิตรและรับเอาแบบอย่างการดำรงชีวิตของประเทศศูนย์กลางมาเป็นของตนเอง
3.
ความสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียมนำไปสู่ความไม่เท่าเทียมกันมากขึ้น ผลต่อเนื่องในระยะยาวของความสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียมกันระหว่างประเทศ
ชนชั้น ภาค และกลุ่มชนจะเพิ่มความไม่เท่าเทียมกันที่มีอยู่เดิมให้มากยิ่งขึ้น
อันนำไปสู่ช่องว่างที่กว้างไกลขึ้นระหว่างคนรวยกับคนจน
ความขัดแย้งทางชนชั้นและความแตกแยกกันภายในสังคมภายใต้วิถีการผลิตแบบทุนนิยมนี้เป็นการไม่ชอบด้วยเหตุผลที่จะหวังว่า
การสะสมทุนและความเติบโตทางเศรษฐกิจในประเทศรอบนอกจะช่วยแก้ปัญหาพื้นฐานสำหรับประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศได้
โลกาภิวัตน์เป็นสถานการณ์ที่ซับซ้อน
ไม่สามารถบอกได้ว่า “ศัตรูที่มองไม่เห็น” นั่นคือ ผู้ร้ายมิอาจแก้ไขสถานการณ์ได้
หากจะอาศัยเพียงการกล่าวโทษภายนอกเท่านั้น
แต่ต้องใช้การมองมากกว่าสายตาปกติจะเห็นถึงความซับซ้อนที่มีอยู่และหลายส่วนเป็นความซับซ้อนที่ไม่สามารถมองจากมุมเดียวได้
สำหรับสังคมไทย
ได้เล็งผลเลิศจากโลกาภิวัตน์จนเกินไป
โดยหวังเป็นศูนย์กลางเอเชียอาคเนย์เป็นศูนย์กลางของการเงินในอนุทวีปเอเชีย
เป็นศูนย์กลางหลายๆ อย่างของภูมิภาค ในอีกด้านหนึ่ง สถานการณ์กลับทำให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางอีกหลายๆ
อย่างที่คาดไม่ถึงและไม่อยากเป็น เช่น ศูนย์กลางการค้าโลกีย์ การค้ายาเสพติด
ศูนย์กลางการค้ามนุษย์
ท่ามกลางความประมาทนั้นไทยจึงประสบปัญหาวิกฤติที่ยังหาทางออกที่ชัดเจนไม่ได้ในปัจจุบัน
ขณะนี้สังคมเริ่มได้สติว่า
โลกาภิวัตน์ไมใช่สิ่งที่สมควรโผเข้าหาอย่างสุดตัว และต้องตั้งหลักคิดว่า
จะตัดสินอย่างไร คำตอบไม่น่าจะอยู่ที่การสนับสนุนให้โบกมือลาโลกาภิวัตน์
เพราะอย่าลืมว่า เศรษฐกิจของเกือบทุกภาคการผลิตและกว่าครึ่งหนึ่งของโลกาภิวัตน์
กลับเป็นการเพิ่มพูนความเสี่ยงสำหรับประเทศไทยมากเกินไป
ทางออกที่น่าจะเหมาะสมในโลกที่เปลี่ยนแปลงคือ
ต้องปรับปรุงความรู้ทำความรู้จักตนเองและรู้จักโลกควบคู่กันไปขณะเดียวกันก็ต้องปรับระบบสังคมเพื่อจัดการกับสิ่งที่ซับซ้อนนี้อย่างรู้เท่าทันสังคมไทยในยุคโลกาภิวัตน์
มีข้อดี ข้อเสีย ดังนี้
ข้อดี
ทำให้สามารถรับรู้ข่าวสารได้รวดเร็ว
ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปเสาะแสวงหาข้อมูล ขจัดความลับในโลกนี้
เพราะข้อมูลข่าวสารจะกระจายทั่วถึงกันหมดไม่ว่าจะอยู่แห่งหนตำบลใด
หรืออยู่ในมุมใดของโลก และข้อเสีย สังคมยุคโลกาภิวัตน์ ทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา
ได้แก่
1.
สมาชิกในสังคมเกิดความเครียดมากขึ้น ความเครียดในยุคโลกาภิวัตน์
มาจากสภาพแวดล้อมที่เร่งรัดและมีการแข่งขันกันสูง
2.
ระบบครอบครัวอ่อนแอลง
ในสภาพการแข่งขันกันมากคนจะใช้เวลาทำงานมากขึ้น มีเวลาอยู่ด้วยกันในครอบครัวน้อยลง
การสื่อสารภายในครอบครัวลดลง ผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือ ลูก
เด็กในยุคโลกาภิวัตน์มีเวลาอยู่กับพ่อแม่น้อยลงความผูกพันและความสัมพันธ์ทางใจลดลง
เด็กจะเรียนรู้บทบาทพ่อแม่ได้น้อยลง
และเมื่อโตขึ้นเป็นพ่อแม่เองก็จะเป็นพ่อแม่เหมือนอย่างที่เคยประสบมา
ระบบครอบครัวจะอ่อนแอและลงเอยด้วยการแตกสลายหย่าร้างแยกทางกันมากขึ้น
เมื่อพื้นฐานความสำคัญในครอบครัวไม่ดีพัฒนาการทางจิตใจของเด็กก็แปรปรวนไปด้วย
3. มนุษย์จะห่างธรรมชาติมากขึ้น
ทำให้มนุษย์ขาดธรรมชาติ ชีวิตจะอยู่กับตึก อาคาร คอมพิวเตอร์ เครื่องจักร
เครื่องมือ และเครื่องอำนวยความสะดวก ไม่เห็นต้นไม้ น้ำตก นกร้อง ฯลฯ
ซึ่งช่วยคลายจิตใจได้ สังเกตได้ว่าในที่ทำงานจะนำธรรมชาติเข้ามาเสริมตกแต่ง
ทำให้รู้สึกสดชื่นสบายน่าทำงานอย่างมาก คนไทยมักจะมองข้ามความสำคัญของธรรมชาติมากกว่าชาติอื่นๆ
4.
ความคิดของคนในยุคโลกาภิวัตน์อาจจำกัดอยู่ในเรื่องของตนเอง
ขาดการคิดเพื่อผู้อื่น หรือเพื่อส่วนรวม เมื่อถึงจุดหนึ่งจะเกิดความรุนแรงต่อกัน
เพื่อแย่งชิงเอาทรัพยกร ธรรมชาติ คนที่ได้เปรียบคือ
คนที่มีข้อมูลข่าวสารมากและสามารถเอาเปรียบผู้อื่นได้เก่งกว่า
5.
มนุษย์จะเคลื่อนไหวน้อยลงในยุคที่มนุษย์สามารถได้ข้อมูลข่าวสารอย่างรวดเร็วและมีเครื่องอำนวยความสะดวก
การเคลื่อนไหวของคนจะลดลง ไม่ต้องเดินทางไกลๆ เพื่อการเรียนหรือเพื่อธุรกิจ
ความเจริญทางเทคโนโลยีทำให้ไม่ต้องเคลื่อนไหวร่างกายมากมายเหมือนสมัยก่อน
เมื่อมนุษย์เคลื่อนไหวน้อยลงจะส่งผลให้ระบบการทำงานของร่างกายทั่วๆ ไปลดลงด้วย
ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและความทนทานของระบบหายใจและหัวใจจะน้อยลง
ทำให้มนุษย์อ่อนแอและความต้านทานโรคต่ำลง
6.
มีการสูญสิ้นของวัฒนธรรม ในอดีตมีการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต
สัตว์บางประเภทไม่สามารถอยู่ได้เนื่องจากสภาพแวดล้อมมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจนไม่สามารถปรับตัวทัน
สิ่งมีชีวิตบางประเภทสูญพันธุ์เนื่องจากความไม่รู้ของมนุษย์ มีการทำลายระบบนิเวศน์
วัฒนธรรมของมนุษยชาติก็มีการเปลี่ยนแปลงไปในทำนองเดียวกัน
ด้วยกลไกของสังคมยุควัตถุนิยม
จะเหนี่ยวนำให้วัฒนธรรมบางชาติแพร่หลายแทรกซึมเข้าไปแทนที่วัฒนธรรมของชาติที่อ่อนด้อยกว่า
เมืองไทยมีวัฒนธรรมดั้งเดิมที่นุ่มนวลอ่อนโยนและสงบ
อิทธิพลของพระพุทธศาสนาช่วยจิตใจคนให้มีความสุขโดยไม่ต้องพึ่งพาความเป็นวัตถุนิยม
แต่ยุคโลกาภิวัตน์วัฒนธรรมมักจะถูกกลืนได้ง่าย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น