เรียบเรียงโดย
วชิรวัชร งามละม่อม
Wachirawachr Ngamlamom
การเกิดขึ้นของแนวคิดวิชารัฐประศาสนศาสตร์สมัยใหม่นั้น
ได้มีการนำแนวคิดทางการจัดการมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตร์ ซึ่งถือเป็นการท้าทายทฤษฎียุคดั้งเดิม
โดยนักวิชาการที่ทำการโต้แย้งได้พัฒนาแนวคิดเป็นศาสตร์แห่งการบริหารรวมถึงกลุ่มพฤติกรรมศาสตร์
ทำให้การศึกษารัฐประศาสนศาสตร์มีการทบทวนองค์ความรู้เอกลักษณ์ของวิชา
และมีการพัฒนาให้เป็นศาสตร์มากขึ้น
ผลที่เกิดขึ้น คือ การรวมกรอบแนวคิด ระหว่างกรอบแนวคิด
การบริหารเป็นส่วนหนึ่งของการเมือง และการบริหารเป็นส่วนหนึ่งของศาสตร์การบริหาร
มารวมกับทฤษฎีความสอดคล้องกับความต้องการของสังคม ดังนั้น
กรอบแนวคิดใหม่จึงครอบคลุม ในเรื่องของ การเมือง สังคม พฤติกรรมศาสตร์
และความต้องการของสังคม แนวคิดดังกล่าวนักวิชาการบางท่านเรียกว่า
ยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์
ในบทนี้ผู้วิจัยขอนำเสนอการกำเนิดและแนวคิดของรัฐประศาสนศาสตร์สมัยใหม่
ซึ่งถือเป็นพื้นฐานสำคัญในการศึกษาวิชารัฐประศาสนศาสตร์
รวมถึงเข้าสภาวการณ์ของการบริหารงานภาครัฐในปัจจุบันและอนาคตที่มาของแนวคิดรัฐประศาสนศาสตร์สมัยใหม่
การเสนอทฤษฎีและผลงานการวิจัยของนักคิดในกลุ่มพฤติกรรมศาสตร์ที่โต้แย้ง
แนวคิดทางรัฐประศาสนศาสตร์ในยุคดั้งเดิม (ก่อนส่งครามโลกครั้งที่ 2) นั้น
มีผลทำให้นักรัฐประศาสนศาสตร์เสื่อมความศรัทธาและเริ่มเกิดความไม่แน่ใจในความถูกต้องเหมาะสมของทฤษฎีรัฐประศาสนศาสตร์ยุคดั้งเดิม อย่างไรก็ตาม
ทฤษฎีที่มาท้าทายก็ไม่เป็นที่ยอมรับของนักวิชาการเหมือนสมัยดั้งเดิมเช่นกัน
สถานภาพของวิชารัฐประศาสนศาสตร์ จึงตกอยู่ในสภาพที่สับสน
และขาดเอกลักษณ์ของลักษณะวิชาโดยในช่วง ค.ศ. 1960-1970
ได้เกิดวิวัฒนาการที่สำคัญ 2 ประการขึ้น ในวิชา
รัฐประศาสนศาสตร์ ซึ่งเป็นการปูพื้นฐานสำหรับการกำเนิดวิชารัฐประศาสนศาสตร์ในสมัยใหม่ ดังนี้ (พิทยา บวรวัฒนา, 2541)
รัฐประศาสนศาสตร์ ซึ่งเป็นการปูพื้นฐานสำหรับการกำเนิดวิชารัฐประศาสนศาสตร์ในสมัยใหม่ ดังนี้ (พิทยา บวรวัฒนา, 2541)
1. นักวิชาการรุ่นใหม่ทางรัฐประศาสนศาสตร์ในสหรัฐอเมริกา
ได้รวมตัวกันและจัดการประชุมที่ Minnowbrook มหาวิทยาลัย Syracuse
University ขึ้นในปี ค.ศ. 1986
เพื่อร่วมปรึกษาและกำหนดปรัชญาพื้นฐานของวิชารัฐประศาสนศาสตร์เสียใหม่
ต่อมาเรียกแนวคิดใหม่ครั้งนี้ว่า รัฐประศาสนศาสตร์ในความหมายใหม่ (The
New Public Administration)
2. ในวงการวิชาการด้านรัฐประศาสนศาสตร์ได้รับอิทธิพลจากการปฏิวัติทางพฤติกรรมศาสตร์
(Behavioral Revolution) ทำให้เนื้อหาและวิธีการศึกษาเปลี่ยนแปลงไปมากตามปรัชญาของพฤติกรรมศาสตร์
นักวิชาการจึงหันมาศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์ร่วมกับวิธีการศึกษาแบบวิทยาศาสตร์
ประยุกต์เป็นทฤษฎีระบบ (Systems Theory) ในรูปแบบต่างๆ
ตลอดจนให้ความสำคัญกับการศึกษาด้านรัฐประศาสนศาสตร์เชิงเปรียบเทียบนโยบายสาธารณะทางเลือกสาธารณะและอื่นๆ
วิวัฒนาการทางรัฐประศาสนศาสตร์ทั้งสองสายข้างต้น
ถือเป็นแนวทางการศึกษาทางด้านรัฐประศาสนศาสตร์สมัยใหม่ นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1970 เป็นต้นมา
นักรัฐประศาสนศาสตร์ได้ยึดแนวการศึกษาดังกล่าวนี้เป็นกระแสหลักจนถึงปัจจุบัน
(สัมฤทธิ์ ยศสมศักดิ์, 2547)
ในขณะที่ จุมพล หนิมพานิช (2548) เห็นว่า
ในช่วงปลายศตวรรษ 1980 และต้นทศวรรษ 1990 ได้มีการเพิ่มแนวทางการจัดการในภาครัฐใหม่ เพื่อตอบสนองการที่ “ตัวแบบการบริหารแบบดั้งเดิม” หรือ “แบบประเพณีนิยม” ที่ไม่สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในภาครัฐได้ในแง่ดังกล่าว
แนวทางนี้จึงช่วยแบ่งเบาปัญหาที่เกิดขึ้นจาก “ตัวแบบการบริหารแบบดั้งเดิม”
หรือ “แบบประเพณีนิยม” โดยมีประเด็นที่สำคัญดังนี้
1. มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญใน
“ตัวแบบการบริหารรัฐกิจแบบดั้งเดิม” หรือ
“แบบประเพณีนิยม” จากการให้ความสำคัญในเรื่องของปัจจัยนำเข้า
และกระบวนการมาเป็นการให้ความสนใจในเรื่องของการทำให้ผลลัพธ์สัมฤทธิผล
รวมทั้งการที่ตัวผู้บริหารจะต้องมีความรับผิดชอบผลที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติงานของตนเองมากขึ้น
2. ได้มีการแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะทำให้การจัดองค์การ
บุคลากร การบริหารงานบุคลากร หรือการว่าจ้างและเงื่อนไข
หรือสภาพการณ์มีความยืดหยุ่นคล่องตัวมากขึ้น
3. วัตถุประสงค์ขององค์การและบุคคลได้มีการกำหนดไว้ในลักษณะที่มีความชัดเจน
ขณะเดียวกันสามารถวัดหรือประเมินผลการปฏิบัติงานได้ง่าย เพราะมีตัวดัชนีหรือตัวชี้วัดระบุหรือแสดงไว้
นอกจากนี้ ยังมีการประเมินแผนงานที่มีระบบ
นอกเหนือไปจากการเห็นหรือให้ความสำคัญในเรื่องของ 3 E’s (Triple E’
Administrative Trinity) อันได้แก่
E แรก คือ การประหยัด (Economy)
E ที่สอง คือ
ความมีประสิทธิภาพ (Efficiency)
E ที่สาม คือ
ความมีประสิทธิผล (Effectiveness)
4. ที่ปรึกษาระดับอาวุโสได้รับการคาดหวังว่าจะมีความผูกพันหรือมีความรับผิดชอบในการทำงานเมื่อตั้งรัฐบาลมากกว่าจะมีการวางตัวเป็นกลาง
5. รัฐมีหน้าที่ที่จะต้องเผชิญกับการทดสอบทางการตลาด
6. มีการลดบทบาทหน้าที่ของรัฐในรูปของการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ
(Privatization)
ในแง่ของหลักการ
รัฐประศาสนศาสตร์สมัยใหม่ได้รับการนิยามว่า
เป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นใหม่ที่เป็นทางเลือก
โดยได้เสนอแนวทางการบริหารจัดการที่สอดคล้องกับความเป็นจริงมากขึ้น อย่างไรก็ตาม
เวลาที่มีการนำแนวทางนี้ไปใช้ ได้มีปัญหาเกิดขึ้นมากมายอาทิ
บางคนมองหรือเห็นว่าแนวทางนี้เสนอแนวทางใหม่ของการทำหน้าที่ทางการบริหารเฉพาะงานในกรณีของภาครัฐ
ขณะที่บางคนมองหรือคิดว่าการนำแนวทางนี้มาใช้
เป็นเรื่องของการลอกเลียนลักษณะที่ไม่ดีของภาคเอกชนมาใช้โดยไม่ได้พิจารณาถึงความแตกต่างพื้นฐานของสภาพแวดล้อมของภาครัฐที่มีลักษณะที่แตกต่างไปจากภาคเอกชนในขณะที่บางคนมองว่า
แนวทางของรัฐประศาสนศาสตร์สมัยใหม่ ดูจะขัดกันกับการให้บริการลักษณะแบบดั้งเดิม
หรือแบบประเพณีนิยม
โดยคำถามที่ว่าการขัดกันหรือเป็นปฏิปักษ์ต่อกันนั้นขัดกันหรือเป็นปฏิปักษ์ต่อกันในเรื่องอะไร
คำตอบ คือ ขัดกันหรือเป็นปฏิปักษ์ต่อกันในเรื่องของการส่งมอบบริการ
นอกจากนี้ยังไม่มีลักษณะของประชาธิปไตยในขณะที่ทางด้าน “รัฐประศาสนศาสตร์แบบดั้งเดิม”
เห็นว่า ตัวแบบของ
รัฐประศาสนศาสตร์แบบดั้งเดิม ก็มีข้อดีหรือมีส่วนที่ดี อาทิ การมีมาตรฐานทางจริยธรรมที่สูงในการให้บริการของรัฐ ในขณะที่ แนวคิดรัฐประศาสนศาสตร์สมัยใหม่ ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ว่าขาดเอกลักษณ์ และไม่มีกรอบแนวคิดที่ชัดเจนของตนเองนอกจากนี้ยังได้รับการโต้แย้งเกี่ยวกับข้อสมมติฐานต่างๆ อีกด้วยจากการพัฒนาไปสู่แนวคิดทางรัฐประศาสนศาสตร์สมัยใหม่ สามารถอธิบายสรุปแนวคิดที่สำคัญดังกล่าว เพื่อทำให้ได้เห็นภาพและทิศทางที่สำคัญในอนาคต
รัฐประศาสนศาสตร์แบบดั้งเดิม ก็มีข้อดีหรือมีส่วนที่ดี อาทิ การมีมาตรฐานทางจริยธรรมที่สูงในการให้บริการของรัฐ ในขณะที่ แนวคิดรัฐประศาสนศาสตร์สมัยใหม่ ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ว่าขาดเอกลักษณ์ และไม่มีกรอบแนวคิดที่ชัดเจนของตนเองนอกจากนี้ยังได้รับการโต้แย้งเกี่ยวกับข้อสมมติฐานต่างๆ อีกด้วยจากการพัฒนาไปสู่แนวคิดทางรัฐประศาสนศาสตร์สมัยใหม่ สามารถอธิบายสรุปแนวคิดที่สำคัญดังกล่าว เพื่อทำให้ได้เห็นภาพและทิศทางที่สำคัญในอนาคต
เอกสารอ้างอิง
ยุทธพงษ์
ลีลากิจไพศาล. (2552). พัฒนาการและลักษณะของหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตร์ระดับปริญญาตรีในประเทศไทย. กรุงเทพ: มหาวิทยาลัยรามคำแหง.
จุมพล
หนิมพานิช. (2548). การบริหารจัดการภาครัฐใหม่: หลักการ แนวคิด และกรณีตัวอย่างของไทย. นนทบุรี: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
พิทยา บวรวัฒนา.
(2541). รัฐประศาสนศาสตร์: ทฤษฎีและแนวทางการศึกษา (ค.ศ. 1887-ค.ศ. 1970)
(พิมพ์ครั้งที่ 5). กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
(พิมพ์ครั้งที่ 5). กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น