หน้าแรก

วันศุกร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2558

วัฒนธรรมทางการเมือง



วัฒนธรรมทางการเมือง

เรียบเรียงโดย
วชิรวัชร  งามละม่อม
Wachirawachr  Ngamlamom

ความหมายของวัฒนธรรมทางการเมือง
พลเมืองภาคเหนือตอนบนมีความผูกพันกับวัฒนธรรมล้านนาและยังคงรักษาเอกลักษณ์ของตนเองมาจนถึงปัจจุบัน มีประเพณี ความคิด ค่านิยมที่แตกต่างจากคนภาคอื่น และเป็นผลผลิตของประวัติศาสตร์ของความเป็นอาณาจักรล้านนา  แต่อย่างไรก็ตามยังเปิดรับเอาวัฒนธรรมจากสังคมอื่นที่ไม่ขัดกับวัฒนธรรมดั้งเดิม หรือผสมผสานทางวัฒนธรรมทั้งนี้ส่วนหนึ่งเนื่องจากนโยบายของรัฐบาลกลางโดยการรวมเอาดินแดนล้านนาเป็นส่วนหนึ่งของสยามด้วยวิธีการยกย่องให้เกียรติแก่คนล้านนาตั้งแต่สมัยพระเจ้ากรุงธนบุรีเป็นต้นมาดังที่กล่าวแต่ต้น การแสดงออกต่อผู้นำผู้บริหารประเทศและยอมรับผู้นำประเทศตราบใดผู้นำประเทศยังให้เกียรติแก่คนล้านนา  พฤติกรรมดังกล่าวถือว่าเป็นวัฒนธรรมทางการเมืองดังที่นักวิชาการและนักรัฐศาสตร์ได้ให้ความหมายวัฒนธรรมการเมืองไว้ดังนี้
อนุสรณ์  ลิ่มมณี (2525: 50) กล่าวว่า วัฒนธรรมทางการเมือง คือแบบกระสวน หรือชุดของทัศนคติ ทิศทางของความคิดความเชื่อและค่านิยมของแต่ละคนที่มีต่อการเมือง ซึ่งประกอบด้วยระบบการเมือง
ผู้แสดงบทบาททางการเมือง กระบวนการทางการเมือง และส่วนอื่นๆ ของระบบการเมือง แบบกระสวนดังกล่าวนี้เป็นสิ่งที่สมาชิกของระบบการเมืองส่วนใหญ่มีอยู่ร่วมกัน
เชาว์  ไพรพิรุณโรจน์ (2530: 106) แสดงทัศนะว่า วัฒนธรรมทางการเมือง หมายถึง ค่านิยม ทัศนคติ และความเชื่อทางการเมือง ซึ่งเป็นมิติทางด้านจิตวิทยา สังคม และวัฒนธรรมของระบบการเมือง วัฒนธรรมทางการเมืองของระบบการเมืองหนึ่งๆ ย่อมเป็นผลผลิตทั้งของประวัติศาสตร์ของระบบการเมืองและประวัติชีวิตของมวลสมาชิกในระบบการเมืองนั้น
Robert A. Dahl (1966: 352-355) กล่าวว่า วัฒนธรรมทางการเมืองถือเป็นปัจจัยในการอธิบายแบบแผนต่างๆ ที่มีความแตกต่างกันในด้านของความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งลักษณะเด่นๆ ของวัฒนธรรมทางการเมือง ได้แก่ ความรู้สึกหรือการอบรมกล่อมเกลาของการแก้ปัญหา การมีกิจกรรมร่วมกัน และความรู้สึกหรือการอบรมสั่งสอนที่มีต่อระบบการเมืองและที่มีต่อบุคคลอื่น


ประเภทหรือลักษณะของวัฒนธรรมทางการเมือง
ประชาชนไทยคุ้นเคยกับระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทน (Representative) ผ่านระบบรัฐสภา (Parliamentary Democracy) มาตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.. 2475 ลักษณะการเมืองแบบนี้จะมีการเลือกผู้แทนเพื่อไปทำหน้าที่นิติบัญญัติในรัฐสภาและรัฐสภาจะมีการเลือกคณะบุคคลทำหน้าที่บริหารที่เรียกว่า คณะรัฐมนตรีหรือรัฐบาลรับผิดชอบการบริหารต่อรัฐสภา ที่ผ่านมาพลเมืองภาคเหนือตอนบนซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบอบการเมืองของไทยก็ต้องรับอิทธิพลการเมืองประชาธิปไตยแบบตัวแทน โดยประชาชนจะทำหน้าที่ครั้งหนึ่งเมื่อมีการเลือกตั้ง และไม่มีการติดตามประเมินผลตัวแทนของตน รวมทั้งจะจำยอมต่อผู้มีอำนาจไม่แยกแยะว่าอำนาจที่ผู้นำมีนั้นเป็นอำนาจที่ได้มาอย่างชอบธรรมหรือไม่  ดังที่ Gabriel A. Almond และ Sidney Verba  เรียกว่าวัฒนธรรมทางการเมืองแบบไพร่ฟ้า 
นับตั้งแต่ปี พ.. 2535 กระแสประชาธิปไตยแรงมากทำให้ประชาชนตระหนักถึงสิทธิเสรีภาพอันเป็นหลักการพื้นฐานของประชาธิปไตย ประกอบกับความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศทำให้ประชาชนเข้าถึงสารสนเทศที่เป็นความรู้มากขึ้น ประชาชนสามารถรับรู้ข้อมูลข่าวสารและตัวแบบของประชาธิปไตยจากนานาประเทศที่เจริญทำให้เกิดการเปรียบเทียบ  รัฐบาลภายใต้การนำของพรรคไทยรักไทย (พ.. 2544-48) ได้เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงบริการสาธารณะมากขึ้น เข้าถึงแหล่งทุนมากขึ้น เป็นการกระจายโอกาสให้ประชาชนในระดับรากหญ้าทดลองการจัดการทุน จัดการทรัพยากรภายในชุมชนของตนเอง ราชการเป็นเพียงพี่เลี้ยงมิใช่เป็นผู้หยิบยื่นและกำกับอย่างเข้มงวดเหมือนในอดีต ประชาธิปไตยจึงพัฒนาไปสู่การเมืองแบบมีส่วนร่วมมากขึ้นและอย่างกว้างขวาง (Participative Democracy) อาจกล่าวได้ว่าพลเมืองไทยเริ่มให้ความสำคัญกับประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม ซึ่งเป็นประเภทที่สามและลักษณะของวัฒนธรรมทางการเมือง ตามแนวคิดของ Gabriel A. Almond และ Sidney Verba, (1965) ที่แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
ประเภทที่หนึ่ง วัฒนธรรมทางการเมืองแบบคับแคบ (The Parochial Political Culture) เป็นวัฒนธรรมทางการเมืองของบุคคลที่ไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับระบบการเมืองเลย ไม่มีการรับรู้ ไม่มีความเห็น และไม่ใส่ใจต่อระบบการเมือง ไม่คิดว่าตนเองมีความจำเป็นต้องมีส่วนร่วมทางการเมือง เพราะไม่คิดว่าการเมืองระดับชาติจะกระทบเขาได้ และไม่หวังว่าระบบการเมืองระดับชาติจะตอบสนองความต้องการของตนได้  สังคมที่อาจพบวัฒนธรรมทางการเมืองแบบคับแคบ ก็คือบรรดาสังคมเผ่าทั้งหลายในทวีปแอฟริกาหรือชาวไทยภูเขาเผ่าต่างๆ ซึ่งในแต่ละเผ่าขาดความเชื่อมโยงกับการเมืองระดับชาติ ขาดโอกาสในการรับรู้และเข้าใจบทบาทของตนต่อระบบการเมือง แต่มีการรับรู้ที่ แคบอยู่เฉพาะแต่กิจการในเผ่าของตน หรือในประเทศด้อยพัฒนาที่ประชาชนส่วนใหญ่ยากจนและไร้การศึกษาจึงถูกปลูกฝังด้วยความเชื่อดั้งเดิมมาแต่โบราณว่าเรื่องการปกครองเป็นเรื่องของผู้ปกครอง ทำให้ผู้ปกครองใช้อำนาจได้โดยไม่ถูกตรวจสอบจากประชาชน
ประเภทที่สอง วัฒนธรรมทางการเมืองแบบไพร่ฟ้า (The Subject Political Culture) เป็นวัฒนธรรมทางการเมืองของบุคคลที่มีความรู้ความเข้าใจต่อระบบการเมืองโดยทั่วๆ ไปแต่ไม่สนใจที่จะเข้ามีส่วนร่วมทางการเมืองในตลอดทุกกระบวนการ และไม่มีความรู้สึกว่าตนเองมีความหมายหรืออิทธิพลต่อระบบการเมือง บุคคลเหล่านี้มักมีพฤติกรรมยอมรับอำนาจรัฐ เชื่อฟัง และปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐโดยดุษฎี   ลักษณะของวัฒนธรรมทางการเมืองแบบไพร่ฟ้าจะพบได้ในกลุ่มคนชั้นกลางในประเทศกำลังพัฒนา เป็นกลุ่มคนที่มีความรู้เข้าใจเกี่ยวกับระบบการเมืองโดยทั่วไป แต่ยังคงมีความเชื่อที่ฝังรากลึกมาแต่เดิมอันเป็นอิทธิพลของสังคมเกษตรกรรมว่าอำนาจรัฐเป็นของผู้ปกครอง ประชาชนทั่วไปควรมีหน้าที่เชื่อฟังและปฏิบัติตามกฎหมายเท่านั้น
ประเภทที่สาม วัฒนธรรมทางการเมืองแบบมีส่วนร่วม (The Participant Political Culture)
เป็นวัฒนธรรมทางการเมืองของบุคคลที่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับระบบการเมืองเป็นอย่างดี
เห็นคุณค่าและความสำคัญในการเข้ามีส่วนร่วมทางการเมือง ทั้งนี้เพื่อควบคุม กำกับ และตรวจสอบให้ผู้ปกครองใช้อำนาจปกครองเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชน ลักษณะวัฒนธรรมทางการเมืองแบบมีส่วนร่วมจะพบเห็นได้ในชนชั้นกลางส่วนใหญ่ของประเทศอุตสาหกรรมหรือประเทศที่พัฒนาแล้ว (Developed Country) และประเทศที่มีความมั่นคงทางการเมืองแบบประชาธิปไตยดังกรณีประเทศอินเดีย
ประชาชนเขาติดตามพฤติกรรมการทำงานของผู้แทน และรัฐบาลที่เขาเลือกเข้าไปทำหน้าที่บริหารหรือนิติบัญญัติแล้ว  เขาจะใช้ความรู้ ข้อมูลข่าวสารและประสบการณ์ในการติดตามประเมินผลนักการเมืองและรัฐบาลเพื่อประกอบการตัดสินใจเมื่อเขาต้องใช้สิทธิและหน้าที่ในการเลือกผู้แทนของเขาครั้งต่อไปทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่น  การแบ่งประเภทวัฒนธรรมทางการเมืองในมุมมองนี้จะใช้เกณฑ์คุณสมบัติของประชาชนที่มีความรู้เกี่ยวกับชาติ ว่ามีความเข้าใจระบบการเมืองมากน้อยเพียงใด มีความรู้เกี่ยวกับบทบาทของผู้ปกครองและการบริหารงานของรัฐบาลหรือไม่เพียงใด ดังที่ นพคุณ  เมืองแวง  ศรายุทธ
โยธีคณะ และสุกิจ  เจริญรัตนกุล (
2524) ได้จำแนกวัฒนธรรมทางการเมือง โดยใช้แนวทางการค้นหาความโน้มเอียงทางการเมืองของบุคคล ซึ่งวัดจากปัจจัย 3 ประการ คือ
1. บุคคลนั้นมีความรู้เกี่ยวกับชาติของเขาและเกี่ยวกับระบบการเมืองของเขาโดยทั่วไปอย่างไร ตลอดจนเขามีความรู้สึกต่อลักษณะทั่วๆ ไปของระบบอย่างไร เขามีความคิดเห็นหรือการตัดสินว่าระบบอย่างนี้เป็นอย่างไร
2. บุคคลผู้นั้นมีความรู้เกี่ยวกับโครงสร้างทางการเมือง และบทบาททางการเมืองของชนชั้นปกครองอย่างไร เขามีความรู้สึกและมีความคิดเห็นต่อโครงสร้างบทบาทของผู้นำ และนโยบายของรัฐอย่างไร บุคคลนั้นมีความรู้เกี่ยวกับการบริหารของรัฐอย่างไร
3. มีความรู้เกี่ยวกับการบริหารของรัฐอย่างไร มีความรู้เกี่ยวกับสถาบัน ตัวบุคคล และกระบวนการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับการบริหารนั้นอย่างไร และมีความรู้สึก ความคิดเห็นต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐอย่างไร
วัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย
ดังที่ทราบแล้วว่าประชาธิปไตย หมายถึง การที่ประชาชนสามารถเข้าถึงอำนาจรัฐอย่างเท่าเทียมกันและตระหนักถึงความมีอิสระเสรีภาพอย่างกว้างขวางของพวกเขา (All Members of The Society Have Equal Access to Power and All Members Enjoy Universally Recognized Freedoms and Liberties) (Moore. 2008) จะเห็นว่ารัฐต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนมีอิสระเสรีภาพในการที่จะจัดการอำนาจรัฐในระดับที่เขามีความรู้สึกว่าไม่เป็นการจำกัดความเป็นอิสระและเสรีภาพของพวกเขา ดังนั้นประชาชนในฐานะพลเมืองจะต้องรู้ว่าโครงสร้างและกลไกตลอดจนรูปแบบการปกครองแบบใดที่เหมาะสมกับเขา เขาจะต้องมีความรู้สึกถึงความพอดีของการปกครองตนเองและการถูกปกครองจากส่วนกลาง มีนักวิชาการได้อธิบายถึงวัฒนธรรมการเมืองแบบประชาธิปไตยขึ้นอยู่กับความเข้าใจความหมายของความเป็นประชาธิปไตยของสมาชิกในสังคม
ทินพันธุ์  นาคะตะ (2517: 8-12) สรุปลักษณะวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย ดังนี้
1. จะต้องมีจิตใจสนับสนุนหลักการปกครองแบบประชาธิปไตย คือ มีความต้องการปกครองแบบนี้มากกว่าแบบอื่นๆ รวมทั้งจะต้องเห็นด้วยกับหลักการปกครองที่ว่า การปกครองของประชาชน
โดยประชาชน และเพื่อประชาชน
2. จะต้องมีความเชื่อและยึดมั่นในคุณค่าและศักดิ์ศรีของบุคคล รวมทั้งรู้จักเคารพสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่นในการพูด การเขียน การแสดงความคิดเห็น และการแสดงออก แม้ว่าสิ่งนั้นจะขัดแย้งกับความคิดเห็นของตนก็ตาม คนที่มีจิตใจเป็นประชาธิปไตยจะต้องยอมรับหรือมีความอดกลั้นในเรื่องความแตกต่างในการประพฤติปฏิบัติของผู้อื่น ตราบใดที่บุคคลนั้นไม่ละเมิดศีลธรรมและสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น
3. จะต้องเคารพในกติกาและการปกครองแบบประชาธิปไตย คือใช้วิธีตัดสินปัญหาด้วยเสียงข้างมาก โดยมีข้อผูกพันที่จะต้องปฏิบัติตามจากทุกฝ่าย ขณะเดียวกันก็ให้ความคุ้มครองสิทธิของฝ่ายที่มีเสียงข้างน้อย เพื่อประกันว่าการแก้ไขปัญหาเป็นไปเพื่อประโยชน์ของคนส่วนรวม และให้เป็นไปตามหลักที่ว่า แต่ละคนมีสิทธิและเสียงเท่ากัน (One Man One Vote) ส่วนบุคคลที่ไม่เห็นด้วยกับเสียงข้างมากจะถือว่าเป็นฝ่ายตรงกันข้าม หรือจะขจัดออกจากสังคมไม่ได้ นอกจากนั้นยังรวมถึงการปฏิบัติกันอย่างยุติธรรมตามกฎหมายอีกด้วย
4. จะต้องสนใจในการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองการปกครอง โดยติดตามข่าวสารบ้านเมือง สนทนาถึงปัญหาของบ้านเมืองกับผู้อื่น และพยายามเข้าไปมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ หรือในการกำหนดนโยบายของทางราชการ
5. จะต้องมีความสำนึกในหน้าที่พลเมืองของตน และมีความเชื่อมั่นในตนเองเป็นต้นว่า ปฏิบัติตามกฎหมายและการบำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคม ยิ่งกว่านั้นยังต้องมีความเชื่อว่า การมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองของตนจะได้ผล
6. จะต้องมองโลกในแง่ดี มีความไว้วางใจผู้อื่น และมีความเชื่อมั่นในตัวเจ้าหน้าที่หรือสถาบันของทางราชการ สิ่งนี้นับว่ามีความจำเป็นต่อความสำเร็จของการปกครองแบบประชาธิปไตยอยู่ไม่น้อย เพราะการเมืองเป็นเรื่องของความร่วมมือร่วมใจกัน แม้จะมีความขัดแย้งกันอยู่ก็ตาม ความสำเร็จของการดำเนินงานของสถาบันทางการเมืองต่างๆ ส่วนหนึ่งจะต้องอาศัยความไว้วางใจซึ่งกันและกัน
7. จะต้องรู้จักการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมีเหตุผล และในทางสร้างสรรค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อการใช้อำนาจหน้าที่และการปฏิบัติงานของทางราชการ เพราะถ้าปล่อยให้ข้าราชการทำอะไรได้โดยไม่มีการคัดค้าน ควบคุม และตรวจสอบแล้ว อาจทำให้เหลิงอำนาจได้ง่าย
วิสุทธิ์  โพธิแท่น (2524: 156-160) กล่าวถึงลักษณะวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตยว่า ต้องมีลักษณะดังนี้
1. ความมีเหตุผล
2. การเข้าร่วมในการเมืองอย่างกระตือรือร้น
3. การมีความรู้ในเรื่องการเมือง
4. การสำนึกในความสามารถทางการเมืองของตน
5. การตัดสินใจใดๆ จำต้องใคร่ครวญอย่างรอบคอบ โดยการประเมินจากพยานและหลักฐาน และการตรวจสอบเปรียบเทียบที่จะเลือกตัดสินใจในทางการเลือกที่มีอยู่หลายทาง
สิ่งหนึ่งที่จะทำให้สังคมใดเป็นประชาธิปไตยมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับปรัชญาพื้นฐานของมนุษย์ที่มองมนุษย์ด้วยกันอย่างมีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน ไม่แยกความมีความจน เชื้อชาติและศาสนา หากพื้นฐานความนึกคิดตรงนี้ปฏิบัติได้  พฤติกรรมและทัศนคติแบบประชาธิปไตยดังกล่าวข้างต้นก็สามารถจะปฏิบัติได้ง่ายขึ้น

ระบบอุปถัมภ์
ระบบอุปถัมภ์ (Patronage System) เป็นระบบความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่มีฐานะทางสังคม เศรษฐกิจไม่เท่ากัน ที่ต่างฝ่ายมีปฏิสัมพันธ์ต่างตอบแทน  แต่สามารถอยู่ร่วมกันได้เนื่องจากสองฝ่ายต่างพึงพอใจในสิ่งที่ตอบแทนซึ่งกันและกัน สิ่งให้กันและกัน ไม่จำเป็นต้องมีมูลค่าทางเศรษฐกิจเท่ากันเพียงแต่อยู่ที่ความพึงพอใจของผู้อุปถัมภ์และผู้ถูกอุปถัมภ์ เช่น อาจเป็นทรัพย์สินเงินทอง สถานภาพทางสังคม 
การคุ้มครอง หรือแรงงาน ฯลฯ  
ระบบอุปถัมภ์เป็นความสัมพันธ์ส่วนตัว ต่างจากระบบตลาดที่ไม่ใช่ความสัมพันธ์ส่วนตัว แต่เป็นการแลกเปลี่ยนที่รู้ชัดว่าอะไรเป็นอะไรและมีกติกาที่ชัดเจนเพื่อให้คนแปลกหน้าสามารถแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการระหว่างกันได้ แต่ระบบอุปถัมภ์เป็นความสัมพันธ์ที่ผู้อุปถัมภ์มีทรัพยากรมากกว่าสามารถให้อุปการะแก่ผู้ถูกอุปถัมภ์ซึ่งมีทรัพยากรด้อยกว่า ฝ่ายผู้ถูกอุปถัมภ์ก็จะตอบแทนด้วยความนิยมชมชอบ ให้ข้อมูลข่าวสาร เป็นฐานเสียงในการสนับสนุนทางการเมือง (อคิน รพีพัฒน์, 2552) ระบบอุปถัมภ์ของไทยมีมาแต่สมัยโบราณที่เรียกว่าระบบไพร่ฟ้าเป็นความสัมพันธ์ระหว่างนายกับบ่าวที่บ่าวต้องเชื่อฟังนายแม้ต่อมาจะเรียกเป็นชื่ออย่างอื่น เช่น เจ้านายกับลูกน้อง เจ้าพ่อกับมือปืน หัวคะแนนกับนักเลือกตั้ง นักการเมืองกับข้าราชการ เป็นต้น
ถ้าพิจารณาให้ละเอียดย้อนไปไกลกว่านั้น ระบบอุปถัมภ์กล่าวได้ว่ามีมาตั้งแต่สังคมยุคเผ่าที่หัวหน้าเผ่าต้องดูแลคุ้มครองคนในเผ่าของตน สมาชิกของเผ่าให้ความจงรักภักดีและแรงงานต่างพึ่งพาอาศัยกัน พัฒนาการของความเป็นอยู่ของมนุษย์จากสังคมเผ่ามาเป็นบ้าน ชุมชน เมืองและรัฐ แต่ระบบอุปถัมภ์ที่ปรากฏหลักฐานทางการปกครองในสมัยสุโขทัยที่พ่อขุนรามคำแหงสร้างระบบการปกครองแบบพ่อปกครองลูกซึ่งเป็นความสัมพันธ์แบบครอบครัวใครเดือดร้อนสามารถร้องเรียนแจ้งเหตุแก่พระมหากษัตริย์ได้ โดยได้แขวนกระดิ่งไว้ที่ประตูพระราชวัง เมื่อประชาชนเดือดร้อนสามารถสั่นกระดิ่งร้องทุกข์ต่อพ่อขุนรามคำแหง (อาทร จันทวิมล, 2548)
การศึกษาระบบอุปถัมภ์เป็นการศึกษาแนวประวัติศาสตร์ทางสังคมวิทยา  โดยทั่วไปมีการอธิบายระบบอุปถัมภ์ในเชิงการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลซึ่งเป็นมุมมองที่แคบไป ถ้าศึกษาในแนวทางทฤษฎีทางโครงสร้าง (Structuralism) มีการอธิบายโครงสร้างทางสังคมศาสตร์ที่ครอบคลุมเนื้อหาทางมานุษยวิทยา สังคมวิทยา เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ จิตวิทยา  มนุษยศาสตร์ในส่วนของมนุษยศาสตร์ยังครอบคลุมกิจกรรมเกี่ยวกับวรรณคดี ภาษาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ รวมทั้งวิจิตศิลป์ (สุเทพ  สุนทรเภสัช, 2548: 57-58) ดังนั้นระบบอุปถัมภ์จึงเป็นค่านิยมที่ได้ผสมเอาส่วนประกอบของโครงสร้างทางสังคมหลายส่วนเข้าไว้ด้วยกัน มิใช่เป็นเรื่องของมานุษยวิทยาหรือรัฐศาสตร์เท่านั้น
ระบบอุปถัมภ์ ภายใต้ระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชในสมัยอยุธยา ความสัมพันธ์เป็นความสัมพันธ์แบบนายกับบ่าว จะแบ่งเป็น 2 ชั้น ได้แก่ ชนชั้นนายและชนชั้นไพร่  ชนชั้นนายหมายถึงเป็นผู้ปกครอง หรือข้าราชการที่มียศฐาบรรดาศักดิ์ในอดีตจะเป็นเชื้อพระวงศ์ และเจ้าเมือง อีกกลุ่มหนึ่งเป็นขุนนางหมายถึงราษฎรที่มีความสามารถ  ถูกชนชั้นนายแต่งตั้งเป็นผู้รับใช้ในงานหน้าที่ของตน ปัจจุบันเปิดกว้างมากขึ้นได้รวมเอาผู้ที่เป็นข้าราชการที่มีตำแหน่งชั้นยศ  ส่วนชนชั้นไพร่ จะมีสองประเภท ได้แก่ ไพร่หลวงและไพร่สม ไพร่หลวงจะต้องรับใช้หลวงโดยการเป็นแรงงาน หลวงสามารถเกณฑ์มาใช้แรงงานได้  ไพร่สมคือผู้ที่รับใช้เจ้านายและขุนนางไม่ต้องถูกเกณฑ์แรงงาน เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตย เมื่อปี พ.ศ. 2475  ชนชั้นขุนนางคณะราษฏรได้ยึดอำนาจโดยอาศัยความได้เปรียบด้านการศึกษา ทุน และในฐานะผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ผู้วางโครงสร้างและออกแบบระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน สงวนอำนาจของชนชั้นเจ้านายไว้เป็นของตนเอง ดังที่เรียกว่าพรรคข้าราชการ หรือกลุ่มอำมาตยาธิปไตย โดยให้กลุ่มประชาชนทั่วไปให้มีสถานะด้อยกว่า   ความสัมพันธ์ระหว่างชนสองชนชั้นอาจปรากฏความสัมพันธ์หลายรูปแบบ เช่น ความสัมพันธ์ที่มีการแลกเปลี่ยนสิ่งทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรมระหว่างกัน  ความสัมพันธ์ระหว่างนายกับลูกน้อง ความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างพวกพ้องเดียวกัน ความสัมพันธ์ระหว่างพนักงานของรัฐและประชาชน เป็นต้น
อคิน รพีพัฒน์ (2552) อธิบายว่า ระบบนี้สามารถยั่งยืนมาจนทุกวันนี้เนื่องจากผู้ให้มีคุณธรรม
และผู้รับมีความภักดี การมองเช่นนี้เป็นมุมองของนักมานุษยวิทยา ส่วนนักรัฐศาสตร์มองระบบอุปถัมภ์ในเชิงความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในทางการเมืองและทางราชการ ซึ่งขัดกับหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่ยึดหลักความมีเหตุผลและความเสมอภาคไม่มีชนชั้น และในระบบราชการให้ความสำคัญกับหลักประสิทธิภาพประสิทธิผลของงาน การนำเอาการปกครองและการบริหารราชการแบบประชาธิปไตยสมัยใหม่มาใช้ภายใต้สังคมที่คุ้นเคยกับระบบอุปถัมภ์จะต้องมีการปรับให้ไปด้วยกันได้
ดังกรณี รัชกาลที่
5 ปฏิรูประบบราชการเมื่อมีการแต่งตั้งขุนนางให้ยศตำแหน่งมอบหน้าที่ให้ใครต้องพิจารณาควบคู่ไปกับระบบคุณธรรม จะเห็นว่าการพัฒนาประชาธิปไตยของไทยจึงไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควรจะเป็นส่วนหนึ่งเนื่องจากระบบอุปถัมภ์ เพราะคนไทยเชื่อในเรื่องบุญกรรม ตายแล้วเกิดใหม่จึงยอมรับความแตกต่างของชนชั้น จึงไม่เชื่อในเรื่องความเสมอภาค ที่ทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกันของความเป็นมนุษย์ การนำระบบคุณธรรมมาใช้จึงถูกกัดกร่อนด้วยระบบอุปถัมภ์
1) ระบบอุปถัมภ์กับการมีส่วนร่วมทางการเมือง
ระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองถือเป็นดัชนีชี้วัดวัฒนธรรมความเป็นประชาธิปไตยซึ่งสามารถอธิบายวัฒนธรรมการเมืองทั้งในระดับบุคคลและสังคม โดยได้แบ่งเป็นสามระดับได้แก่ หนึ่ง วัฒนธรรมการเมืองแบบเพิกเฉย (Parochial Political Culture) คือเป็นสังคมที่มีผู้ไม่ให้ความสนใจเกี่ยวกับการเมืองอยู่มาก ไม่มีความรู้ว่าการเมืองจะมีประโยชน์ต่อตนอย่างไร สอง วัฒนธรรมการเมืองแบบไพร่ฟ้า (Subject Political Culture) เป็นสังคมที่มีผู้ให้ความสนใจการเมืองตามคำสั่ง คำชี้นำของเจ้าหน้าที่รัฐ ข้าราชการรวมทั้งเชื่อในระเบียบกฎเกณฑ์ที่ออกโดยเจ้าหน้าที่รัฐ  และสาม วัฒนธรรมการเมืองแบบมีส่วนร่วม (Participant Political Culture) เป็นสังคมที่มีผู้ให้ความสนใจการเมืองติดตามเรียนรู้เกี่ยวกับการเมือง
รู้บทบาทหน้าที่ของตนเองและนักการเมือง มีความกระตือรือร้นที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมือง (
Almond & Verba, 1965: 16)  สังคมไทยในยุคปัจจุบันถ้ายอมรับว่าระบบอุปถัมภ์มีอิทธิพลอยู่ ถือได้ว่าสังคมไทยมีวัฒนธรรมแบบไพร่ฟ้า และกำลังพัฒนาไปสู่วัฒนธรรมการเมืองแบบมีส่วนร่วม ทั้งนี้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความก้าวหน้าของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงความรู้และข้อมูลข่าวสารได้อย่างกว้างขวางและเท่าเทียมกันมากกว่าในอดีตโดยเฉพาะประชาชนที่อยู่ตามภูมิภาคและท้องถิ่น
2) ระบบอุปถัมภ์กับการพัฒนาชุมชน                                                                           
ระบบอุปถัมภ์ยังคงมีอิทธิพลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมือง การบริหารหรือการพัฒนาบนความมีเหตุมีผลซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานของประชาธิปไตย  ระบบอุปถัมภ์เป็นการยอมรับในความไม่เท่าเทียมทางสถานะของคนสองฝ่ายคือฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐและฝ่ายประชาชน ในขณะที่กระแสประชาธิปไตยไหลบ่าเข้าสู่ประเทศไทยฝ่ายเจ้านายจึงจำยอมผ่อนคลายอำนาจของตนเอง  ยอมรับแนวคิดการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น และแนวคิดการกระจายอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบไปสู่ชุมชน โดยเฉพาะชุมชนวิชาชีพหรือสมาคมวิชาชีพ เป็นแนวคิดที่ขยายตัวออกไปพร้อมๆ กับสำนึกของการปกครองตนเอง  หรือสำนึกอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบทางสังคมของประชาชนและชุมชนที่ควบคู่ไปกับการไม่ไว้วางใจให้รัฐที่ออกแบบโครงสร้างอำนาจรวมศูนย์สู่ส่วนกลางมากเกินไป (กิตติศักดิ์ ปรกติ, 2550: 47) ชุมชนเองก็ได้รับบทเรียนการบริหารการพัฒนาที่ถูกออกแบบจากส่วนกลาง  ทำให้ชุมชนต้องพึ่งพามากขึ้นไม่สามารถจะพัฒนาตนเองให้เข้มแข็งได้ กระบวนการพัฒนาทำให้ชุมชนเกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านโครงสร้างหรือการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ไปพร้อมๆ กัน (สุเทพ สุนทรเภสัช, 2548: 72) การพัฒนาชุมชนจึงถูกแบ่งออกเป็นสองกระบวนการกล่าวคือเป็นกระบวนการที่จัดการโดยส่วนกลาง อีกกระบวนการหนึ่งเป็นสิ่งที่ชุมชนต้องออกแบบและจัดการเองบนพื้นฐานของสภาพแวดล้อมและภูมิปัญญาของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมการพัฒนา กิจกรรมทางศาสนา พิธีกรรมชุมชนจะมีผู้นำในการดำเนินการ
ความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำและสมาชิกชุมชนเป็นวัฒนธรรมการมีส่วนรวมชนิดหนึ่งและเป็นการมีส่วนร่วมที่ตั้งอยู่บนหลักการของเหตุและผล มิใช่เป็นการตอบแทนแบบระบบอุปถัมภ์ เพราะผู้นำและสมาชิกชุมชนให้ความร่วมมือสนับสนุนมีเป้าหมายอันเดียวกันในการพัฒนาชุมชนกล่าวคือแนวทางหรือแผนการพัฒนาชุมชนสมาชิกชุมชนต้องมีส่วนร่วมทุกขั้นตอนจึงจะได้รับการสนับสนุนจากคนในชุมชน และทรัพยากรของชุมชน
  
บรรณานุกรม

กิตติศักดิ์  ปรกติ. (2550). สิทธิชุมชน. กรุงเทพฯ: วิญญูชน.
เชาว์ ไพรพิรุณโรจน์. (2530). ลัทธิและอุดมการณ์ทางการเมือง. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. 
ทินพันธุ์  นาคะตะ. (2517). ประชาธิปไตย: ความหมายปัจจัยที่เอื้ออำนวยและการสร้างจิตใจ. วารสารธรรมศาสตร์. 3(2): 10.
นพคุณ  เมืองแวง  ศรายุทธ  โยธีคณะ และสุกิจ  เจริญรัตนกุล. (2524). แนววิเคราะห์วัฒนธรรมทางการเมือง. กรุงเทพฯ: เซ็นเตอร์พับลิคเคชั่นการพิมพ์.
วิสุทธิ์  โพธิแท่น. (2524). ผู้ปกครองที่พึงประสงค์. กรุงเทพฯ : ศูนย์วิจัย คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. 
วิสุทธิ์  โพธิแท่น. (2524). ประชาธิปไตยแนวความคิด และตัวแบบประเทศประชาธิปไตย ในอุดมคติ. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
สุเทพ สุนทรเภสัช. (2548). มนุษยวิทยากับประวัติศาสตร์. กรุงเทพฯ: ด่านสุทธา การพิมพ์.
อคิน รพีพัฒน์. (2552). ระบบอุปถัมภ์. สืบค้นจาก http://www.nidambe11. net/ekonomiz/2005q1/article2005march16p1.htm.
อาทร  จันทรวิมล. (2548). ประวัติของแผ่นดินไทย. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์อักษรไทย.
อนุสรณ์  ลิ่มมณี. (2525). การวิเคราะห์ระบบการเมือง. กรุงเทพฯ: คุณพินอักษรกิจ.
Almond, G. A., & Verba, S. (1965). The Civic Culture: Political Attitudes and Democracy in Five Nations.  Boston: Little, Brown and Co.
Dahl, R.A.(1966). Political Opposition in Western Democracies. New Haven: Yale University Press. 
Moore, B.J. (2008). Types of Bureaucratic agencies. Retrieved March 5, 2008, from  http://en.wikipedia.org/wiki/Bureaucracy


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น