หน้าแรก

วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2558

ความร่วมมือระหว่างวัดกับรัฐในการการพัฒนาสังคม



ความร่วมมือระหว่างวัดกับรัฐในการการพัฒนาสังคม

เรียบเรียงโดย
วชิรวัชร  งามละม่อม
Wachirawachr  Ngamlamom

ความสัมพันธ์ระหว่างพระพุทธศาสนากับรัฐ มีมาช้านานตั้งแต่สมัยพุทธกาล ถ้าจะพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างศาสนาโดยสากลธรรมชาติเชื่อว่าเริ่มเกิดขึ้นครั้งแรก ตั้งแต่มีรัฐเป็นครั้งแรก เพราะความสัมพันธ์ระหว่างศาสนากับรัฐนั้น ก็หมายความว่าความสัมพันธ์ระหว่างความเชื่อของมนุษย์และพระศาสนา (สุกิจ ชัยมุสิก, 2552) รัฐ และศาสนา จึงไปด้วยกันหรือคู่ขนานกันไป ต่างช่วยเหลือเกื้อกูลกัน จะทำให้รัฐเป็นธรรมรัฐ (Good Governance) ให้ประชากรภายในรัฐมีความสงบสุขร่มเย็น ทำให้มั่นใจได้ว่า คำสอนของศาสนาเป็นพื้นฐานของความมั่นคงแห่งรัฐ ในทางการเมือง สังคม เศรษฐกิจ ฯ อย่างแท้จริง   
ตามทัศนะของท่านธรรมปิฏก (2525) ได้กล่าวว่า รัฐมีหน้าที่ที่จะต้องพยายามให้ศาสนาบริสุทธิ์ เพื่อให้มีธรรมดำรงอยู่สืบต่อไปในสังคมหรือในโลกนี้ การทำสังคยานาก็ดี การกำจัดชำระล้างศาสนาในบางสมัยก็ดี เป็นเรื่องที่จัดได้ว่าอยู่ในหน้าที่ข้อนี้  เมื่อมีเหตุการณ์ไม่เรียบร้อยขึ้นในวงการพระศาสนา รัฐก็เข้ามาอุปถัมภ์คณะสงฆ์ในการทำสังคายานาร้อยกรองพระธรรมวินัย เพื่อรักษาธรรมที่บริสุทธิ์ไว้   


แต่อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับศาสนา ก็ไม่อาจจะกล่าวได้โดยตรง เพราะพระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติเกี่ยวกับอำนาจรัฐ หรือความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับศาสนาไว้ตรงเพราะศาสนาของพระองค์เป็นไปเพื่อความหลุดพ้น แต่ธรรมะของพระองค์ต่างหาก ที่เป็นการส่งเสริมให้กับการบริหารรัฐ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย หรือเป็นการประยุกต์ธรรมะของพระพุทธองค์เข้ากับเรื่องนั้นๆ ซึ่งก็สามารถบูรณาเข้ากันได้ดี จนเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวาง ดังที่เสถียรพงษ์ วรรณปก (2550) ได้กล่าวว่า โดยโครงสร้างของความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับพระศาสนา พระสงฆ์ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองการปกครองโดยตรงอยู่แล้ว ท่านบวชมาศึกษา ปฏิบัติ เมื่อปฏิบัติได้ผลมากน้อยตามความสามารถแล้ว ก็เผยแผ่พระธรรม สั่งสอนประชาชน นั้นคือหน้าที่หลักของพระสงฆ์ ดังที่ตรัสไว้ในมหาปรินิพพานสูตรว่า พระสงฆ์จะต้องศึกษา-ปฏิบัติสัมผัสผล-เผยแผ่-แก้ปัญหา ฝ่ายรัฐ ก็มีหน้าที่ในการ 1) ปกครองประเทศให้เจริญรุ่งเรือง ร่มเย็นเป็นสุข โดยอาศัยหลักธรรมทางพระพุทธศาสนามาประยุกต์ใช้ในการปกครองประเทศ (โดยเฉพาะทศพิธราชธรรม) 2) อุปถัมภ์คุ้มครองพระพุทธศาสนา รวมถึงช่วยศาสนจักรแก้ปัญหาใหญ่ๆ ที่เกิดขึ้นอันเกินความสามารถของพระสงฆ์จะจัดการได้ ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับพระพุทธศาสนา มิได้เหมือนประเทศใดๆ ถ้าจะเรียกว่าเป็น Separation of Church and State ก็เป็นความสัมพันธ์แบบ Positive Separation มากกว่า Negative Separation คือไม่มีความขัดแย้งกันระหว่างพระศาสนากับรัฐ เนื่องจากต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ของตนสอดประสานสัมพันธ์กัน เพื่อความมั่นคงของรัฐ และความเจริญรุ่งเรืองของพระศาสนา

ความสัมพันธ์ระหว่างพระพุทธศาสนากับรัฐไม่ว่าจะเป็นสมัยพุทธกาลหรือสมัยปัจจุบัน ความสัมพันธ์ที่เห็นได้อย่างชัดเจนที่สุดและเป็นประเด็นหลักก็คือ 1) ความสัมพันธ์ระหว่างศาสดาหรือองค์แทนพระศาสดากับรัฐ 2) ความสัมพันธ์ระหว่างศาสนธรรมกับรัฐ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างศาสนบุคคลกับรัฐ 4) ความสัมพันธ์ระหว่างศาสนพิธีและศาสนประเพณี 5) ความสัมพันธ์ระหว่างศาสนวัตถุกับรัฐ เพราะฉะนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างพระพุทธศาสนากับรัฐจึงเป็นการศึกษาครอบคลุมทั้ง 5 องค์ประกอบเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม ศาสนาที่ปราศจากการอุปถัมภ์บำรุงเอาใจใส่จากรัฐก็มิอาจนำหลักธรรมเข้าไปสู่กลไกของรัฐได้อย่างสะดวก รัฐที่ปราศจากหลักธรรมทางศาสนาเป็นคู่มือบริหารก็มิอาจนำรัฐไปสู่เป้าหมายและความสงบสุขแห่งรัฐได้ จึงเป็นการสมควรอย่างยิ่งที่ศาสนจักรและอาณาจักรจะต้องร่วมมือกันเดินไปด้วยกันเพื่อความสงบสุขแห่งรัฐและความมั่นคงแห่งพระพุทธศาสนาและสันติภาพโลก
นโยบายของรัฐปัจจุบันที่มีส่วนสัมพันธ์กับวัด หรือพระพุทธศาสนา จะเป็นไปในลักษณะของการส่งเสริมการปรับปรุงองค์กรและกลไกที่รับผิดชอบด้านศาสนา เพื่อให้การบริหารจัดการ ส่งเสริมทำนุบำรุงศาสนา มีความเป็นเอกภาพและประสิทธิภาพ รวมทั้งส่งเสริมความเข้าใจอันดีและสมานฉันท์ระหว่างศาสนิกชนของทุกศาสนา เพื่อนำหลักธรรมของศาสนามาใช้ในการส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนใช้หลักธรรมในการดำรงชีวิตเพื่อสังคมของเราจะได้เป็นสังคมที่มีแต่ความสงบสุข ปราศจากความขัดแย้งและความรุนแรงระหว่างกัน โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1) นโยบายการส่งเสริมการนำหลักธรรมมาเสริมสร้างความปรองดองและความสามัคคีของคนในชาติ 2) นโยบายการเร่งรัดในการออกกฎหมายในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา 3) นโยบายการฟื้นฟูบทบาทของบ้าน วัด โรงเรียน และราชการให้เป็นศูนย์กลางของชุมชน 4) นโยบายการส่งเสริมบทบาทและงบประมาณในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระสงฆ์มีบทบาทสำคัญในการเทศนาอบรมธรรมะให้แก่ประชาชน นโยบายดังกล่าวของรัฐบาล จะสำเร็จได้ ต้องอาศัยกลไกของระบบราชการเป็นตัวขับเคลื่อนระบบราชการในที่นี้ คือ หน่วยงานของรัฐ ได้แก่ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ 

สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มีภารกิจเกี่ยวกับการดำเนินงานสนองงานคณะสงฆ์และรัฐโดยการทำนุบำรุง ส่งเสริมกิจการพระพุทธศาสนา ให้การอุปถัมภ์ คุ้มครองและส่งเสริมพัฒนางานพระพุทธศาสนา ดูแล รักษา จัดการศาสนาสมบัติ พัฒนาพุทธมณฑลให้เป็นศูนย์กลางทางพระพุทธศาสนา รวมทั้งให้การสนับสนุนส่งเสริม พัฒนาบุคลากรทางศาสนา โดยมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(1) ดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการคณะสงฆ์ กฎหมายว่าด้วยการกำหนดวิทยฐานะผู้สำเร็จวิชาการพระพุทธศาสนา รวมทั้งกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง
(2)  รับสนองงาน ประสานงาน และถวายการสนับสนุนกิจการและการบริหาร การปกครอง คณะสงฆ์
(3)  เสนอแนวทางการกำหนดนโยบายและมาตรการในการคุ้มครองพระพุทธศาสนา
(4)  ส่งเสริม ดูแล รักษา และทำนุบำรุงศาสนสถานและศาสนวัตถุทางพระพุทธศาสนา
(5)  ดูแลรักษา และจัดการวัดร้างและศาสนสมบัติกลาง
(6)  พัฒนาพุทธมณฑลให้เป็นศูนย์กลางทางพระพุทธศาสนา
(7)  ทำนุบำรุงพุทธศาสนศึกษา เพื่อพัฒนาความรู้คู่คุณธรรม
(8)  ปฏิบัติการอื่นใดตามที่กฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของสำนักงานหรือนายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีมอบหมาย

วิสัยทัศน์ของสำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ คือ พระพุทธศาสนามีความเจริญมั่นคง พุทธศาสนิกชนเข้มแข็งมีความสุขด้วยหลักพุทธธรรม ส่งเสริมศีลธรรมคํ้าจุนสังคม และพันธกิจ คือ  ให้การอุปถัมภ์คุ้มครองพระพุทธศาสนา ส่งเสริมการเผยแผ่หลักธรรมให้ประชาชน นำไปปฏิบัติให้เกิดประโยชน์ได้จริง  ยุทธศาสตร์ 1) การอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา 2) การนำหลักธรรม สร้างความเข้มแข็งให้แก่ชีวิตและสังคม (สำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ, 2553)
จากที่ได้สรุปให้เห็นในรูปของนโยบายที่มีส่วนสัมพันธ์กันกับวัด ซึ่งจะมีผลต่อการบริหารจัดการคณะสงฆ์ในอนาคต ก็จะเป็นไปในลักษณะที่กว้างๆ ไม่ได้เจาะจงลงไป แต่อย่างไรก็ตาม การจะให้เห็นภาพรวมความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับวัดมีความเกี่ยวเนื่องกันอย่างไร ก็ต้องดูที่หลักแนวทางปฏิบัติ ดังที่ได้กล่าวไว้ว่า หากจะดูตามหลักรัฐศาสตร์แต่เพียงอย่างเดียว ที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับศาสนามีความเกี่ยวเนื่องกันอย่างไร คงจะไม่เพียงพอ ผู้วิจัยก็ได้ฉายภาพให้เห็นแล้วว่า ต้องดูตามหลักทางด้านรัฐประศาสนศาสตร์ ซึ่งเกี่ยวกับการกำหนดนโยบายโดยตรง (Policy Making) และจะเห็นภาพความสัมพันธ์ระหว่างกันมากกว่านี้ จะต้องไปดูที่การนำไปสู่การปฏิบัติ (Implementation) ซึ่งเป็นการร่วมมือกันระหว่างภาคราชการกับทางคณะสงฆ์ในการร่วมกันทำกิจกรรมโครงการต่างๆ ให้บรรลุผลสำเร็จตามกรอบนโยบายใหญ่ที่รัฐบาลได้กำหนดมา ภาครัฐต้องอาศัยคณะสงฆ์เป็นกลไกหลักในการเผยแผ่ ขยายองค์ความรู้ไปสู่ประชาชนตามหมู่บ้าน ส่วนคณะสงฆ์ต้องอาศัยภาครัฐ หรือภาคราชการ ในเรื่องของการอุปถัมภ์เรื่องงบประมาณ และระเบียบวิธีปฏิบัติที่ถูกต้องตามระบบราชการ ดังนั้น ต่อจากนี้ จะได้อรรถาธิบายถึงหลักในการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติของการร่วมมือกันระหว่างภาครัฐกับทางคณะสงฆ์ในการทำกิจกรรม โครงการของรัฐบาล โดยจะสะท้อนจากงานวิจัยจากนักวิชาการต่างๆ เป็นไปตามลำดับ

วิชัย บูรณะฤทธิ์ทวี (2533) ได้ศึกษา พฤติกรรมผู้นำในการพัฒนาชุมชน: ศึกษากรณีโครงการบวร ได้สรุปว่า ลักษณะของผู้นำสงฆ์ที่เด่นชัด คือ สามารถทำงานร่วมกันกับทางราชการได้เป็นอย่างดี และมีความสามารถในการแปลงนโยบายของรัฐไปสู่การปฏิบัติ โดยใช้ภาวะผู้นำสงฆ์ในการพัฒนาสังคมให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐ เช่น นโยบายการสังคมสงเคราะห์ นโยบายการปลูกฝังคุณค่าทางจริยธรรม และนโยบายการพัฒนาหมู่บ้าน โดยร่วมกัน 3 ฝ่าย คือ คณะสงฆ์ ประชาชน และข้าราชการ โดยผู้นำสงฆ์ เป็นแต่เพียงหน้าที่ให้คำปรึกษาชี้แนะ หลักการที่ถูกต้อง

สอดคล้องกับบทสรุปของ อนันต์ ดอนนอก (2539) ได้กล่าวถึง ความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับบทบาทของพระสงฆ์ในการพัฒนาชุมชน ตามโครงการอบรมประชาชนประจำตำบล (อ.ป.ต.)  โดยพบว่า พระสงฆ์เข้ามามี บทบาทในด้านการเป็นผู้สนับสนุนให้คำปรึกษาและประสานงานกับ หน่วยงานของทางราชการและองค์กรเอกชนต่างๆ พระสงฆ์มีบทบาทในการพัฒนาชุมชน 2 ประการ คือ ประการที่หนึ่ง พระสงฆ์มีแรงบันดาลใจ (Inspiration) ที่เกิดจากการศึกษาหลักพุทธธรรมและพระสงฆ์มีความคุ้นเคยกับ ประชาชนในชุมชนมานาน ประการที่สอง การได้รับแรงกระตุ้น (Motivation) ที่เกิดจากการรับรู้ข้อมูลข่าวสารจากภายนอก หรือได้รับผลตอบแทนทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม กิจกรรม

แต่อย่างไรก็ตาม ความร่วมมือในการผนึกกำลังระหว่างภาครัฐกับคณะสงฆ์จะสำเร็จได้ ต้องอาศัยการทำงานแบบบูรณาการ โดยเน้นถึงการแบบมีส่วนทุกภาคส่วน อาศัยพระสงฆ์เป็นแกนนำ ดังเช่น งานวิจัยของ สมนึก อนันตวรวงศ์ (2539) ได้กล่าวสรุปไว้ว่า ในทางนโยบายรัฐบาลและองค์กรคณะสงฆ์ต้องร่วมมือกันในการปรับปรุง องค์กรการทำงานต่างๆ ในคณะสงฆ์ ต้องเน้นในส่วนของการ ศึกษา การปฏิบัติ การเผยแผ่ ซึ่งอาจอยู่ในรูปแบบของการทำงาน สังคมสงเคราะห์ หรือการถ่ายทอดในรูปอื่นๆ การสร้างแรงจูงใจในการทำงาน กระตุ้นให้ สถาบันครอบครัว บิดามารดาปลูกฝังให้บุตรของตนมีความผูกพันกับความดีกับศาสนามากขึ้น ในส่วนของสถาบันการศึกษาต้องร่วมมือกับวัดโดยให้ พระสงฆ์ได้มีโอกาสในการเข้าไปให้ความรู้กับเยาวชน อย่างเต็มที่ ทั้งในระดับประถม มัธยมและอุดมศึกษา 

แนวคิดของ สุภารัตน์ รักษ์มณี (2547) ได้กล่าวถึง บทบาทพระสงฆ์ในการสร้างชุมชนเข้มแข็ง พบว่า พระสงฆ์มีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้ชาวบ้านมีส่วนร่วมในการสร้างชุมชนเข็มแข็งได้สำเร็จ และได้รับความร่วมมือจากชาวบ้าน อำนาจของพระสงฆ์มาจาก สถานะของความเป็นพระ  อีกทั้งเป็นผู้ มีการศึกษาทั้งทางโลกและทางธรรมค่อนข้างสูง มีประสบการณ์ อุดมการณ์และเป้าหมายชัดเจน มีความเมตตา อดทน เสียสละ เป็นต้น  จากที่กล่าวมาทำให้เห็นได้ว่า บทบาทของพระสงฆ์มีส่วนสัมพันธ์กับทางภาครัฐทั้งในแง่ของนโยบาย และการนำไปสู่การปฏิบัติ โดยสะท้อนเป็นบทสรุปจากพระมหารัตนพล  ก้านเพชร (2547) ได้สรุปบทบาทพระสงฆ์ต่อการสร้างชุมชนเข้มแข็ง ที่เป็นไปตามนโยบายของรัฐ โดยสรุปว่า บทบาทการพัฒนาของพระสงฆ์ เป็นไปในมิติ 4 ด้าน คือ 1)  มิติทางด้านเศรษฐกิจ 2)  มิติทางด้านสังคม 3)  มิติทางด้านวัฒนธรรม 4)  มิติทางด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

กล่าวโดยสรุปความสัมพันธ์ระหว่างวัดกับทางราชการหากจะมองในลักษณะตามแนวทางรัฐศาสตร์ ซึ่งจะเป็นไปในลักษณะของการให้ความอุปถัมภ์ของผู้ปกครองประเทศ ส่วนสถาบันศาสนา (วัด) จะคอยเป็นผู้ให้คำปรึกษา ให้แนวทางการบริหารบ้านเมืองเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขแก่ประชาชน หากมองย้อนไปถึงรูปแบบการปกครองที่มีอยู่ในพระไตรปิฏก ก็จะเป็นไปในลักษณะของการเทียบเคียงมากกว่าที่จะเป็นการเขียนไว้โดยตรง  เพราะคำสอนของพระพุทธเจ้า ส่วนมาก จะเป็นการบูรณาการได้กับทุกศาสตร์ หากจะเป็นการกล่าวถึงเรื่องนั้นตรงๆ คงจะไม่ค่อยมีมาก และหากมองในแง่ของความสัมพันธ์ในเชิงรัฐประศาสนศาสตร์ระหว่างวัดกับรัฐ จะเห็นภาพชัดเจนได้ว่า รัฐมีหน้าที่ในการกำหนดนโยบายในลักษณะที่กว้างๆ เพื่อให้ความช่วยเหลือกับทางวัด ซึ่งนโยบายที่ทางรัฐกำหนดนั้น จะแสดงออกมาในรูปของมติคณะรัฐมนตรี ในรูปของกฎหมาย ซึ่งจะมีผลกระทบต่อสถาบันศาสนา (วัด) ไม่ว่านโยบายทางด้านศาสนานั้น จะมีผลในเชิงบวก หรือเชิงลบก็ตาม หากแต่เป็นหน้าที่ของรัฐที่จะช่วยเหลือสถาบันทางศาสนา (วัด) ในรูปของนโยบาย ส่วนนโยบายจะประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใด หรือสามารถแก้ไขปัญหาให้กับวัดได้ตรงตามความต้องการหรือไม่ อยู่ที่หน่วยงานราชการ จะแปลงไปสู่การปฏิบัติ โดยร่วมมือกับทางคณะสงฆ์ในการปฏิบัติตามนโยบายของทางรัฐ ดังนั้น หากจะถามถึงความสัมพันธ์ระหว่างวัดกับรัฐมีความสัมพันธ์กันอย่างไร ก็คงจะตอบเป็นไปในเชิงนโยบาย และการนำนโยบายไปปฏิบัติ กล่าวคือ นโยบายเป็นไปในลักษณะที่ให้ความคุ้มครอง การให้ความช่วยเหลือด้านงบประมาณ และการนำนโยบายไปปฏิบัติ คือ การร่วมมือกันระหว่างข้าราชการกับทางพระสงฆ์ในการดำเนินการตามโครงการต่างๆ ที่เอื้อประโยชน์สุขมาสู่ประชาชน เช่น โครงการลานบุญ ลานวัด ของกรมการศาสนา และโครงการแผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง ฯลฯ ซึ่งเป็นโครงการที่พยายามจะสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างบ้าน วัด โรงเรียน และรัฐเข้ามาทำงานร่วมกันดำเนินการเพื่อความผาสุกของสังคม ประเทศชาติและเป้าหมายของพระศาสนา คือ ทำให้ประชาชนมีความเห็นถูกต้อง และเป็นประชากรที่มีคุณภาพ ตามแนวทางสังคมวิทยาเชิงพุทธแบบบูรณาการกับประชาธิปไตยแบบสากล

***********************************************************

บรรณานุกรม

พระธรรมปิฏก (ป.อ.ปยุตฺโต). (2525). รัฐกับพระพุทธศาสนา ถึงเวลาชำระล้างหรือยัง. กรุงเทพฯ:
จุฬาบรรณาคาร.
พระมหารัตนพล  ก้านเพชร. (2547). บทบาทพระสงฆ์ต่อการสร้างชุมชนเข้มแข็งศึกษาเฉพาะกรณีพระสงฆ์กลุ่มสหธรรมเพื่อการพัฒนาในจังหวัดสุรินทร์. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี.
วิชัย บูรณะฤทธิ์ทวี. (2533). พฤติกรรมผู้นำในการพัฒนาชุมชน: ศึกษากรณีโครงการบวร.
งานวิจัยศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดเชียงราย อ. เมือง จ. เชียงราย.
สมนึก อนันตวรวงศ์. (2539). สถาบันสงฆ์กับการพัฒนาสังคมไทยในอนาคตตามทรรศนะ
ของพระผู้นำทางด้านวิชาการ
. งานวิจัยทางด้านสังคมสงเคราะห์ คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
.
สุภารัตน์ รักษ์มณี. (2547). บทบาทพระสงฆ์ในการสร้างชุมชนเข้มแข็ง: ศึกษากรณีชุมชนบ้านขุน อ.ฮอด จ.เชียงใหม่. วิทยานิพนธ์นิเทศศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชานิเทศศาสตร์มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์.
สุกิจ ชัยมุสิก. (2552). ความสัมพันธ์ระหว่างพระพุทธศาสนากับรัฐ. บทความวิชาการบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย.
เสฐียรพงษ์ วรรณปก. (2550). ประโยชน์ที่พึงได้จากการเขียนพระพุทธศาสนาในรัฐธรรมนูญ.
หนังสือพิมพ์มติชน: คอลัมน์ศาสนา วันที่ 6 พฤษภาคม 2550.



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น