หน้าแรก

วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2558

แนวคิดการมีส่วนร่วมทางการเมือง



แนวคิดการมีส่วนร่วมทางการเมือง

เรียบเรียงโดย
วชิรวัชร  งามละม่อม
Wachirawachr  Ngamlamom

การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนถือเป็นหลักการสำคัญ (Participation Democracy) แต่ต้องเป็นการมีส่วนร่วมที่เกิดจากความต้องการความนึกคิดของประชาชนเอง  มิใช่เป็นการสร้างการมีส่วนร่วมจากรัฐบาลกลาง (Top Down) หรือเป็นประชาธิปไตยโดยภาพรวม (National Democracy) แต่ละเลยประชาธิปไตยในระดับท้องถิ่น (Local Democracy) ประเทศไทยไม่ค่อยมีการพูดถึงประชาธิปไตยในระดับท้องถิ่นที่มีผลกระทบถึงประชาธิปไตยระดับชาติ (ธเนศวร์ เจริญเมือง, 2550)   ส่วนใหญ่จะพูดถึงแต่ประชาธิปไตยในระดับชาติ การเมืองท้องถิ่นเริ่มให้ความสำคัญกันอย่างจริงจังภายหลังการใช้รัฐธรรมนูญฉบับปี พ.. 2540 ที่เปิดกว้างให้ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้น  ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของรัฐมากขึ้น ถึงกับวางหลักข้อมูลข่าวสารกันใหม่ว่า หลักคือเปิดเผย  การปกปิดข้อมูลข่าวสารเป็นเพียงข้อยกเว้น  หลักการนี้ได้กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.. 2540  การที่ประชาชน ประชาสังคมสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของราชการเท่ากับเป็นการลดความรุนแรงของปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นได้ระดับหนึ่ง  และการที่รัฐวางเจตนารมณ์ให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของทางการ  ทำให้พรมแดนของระบบราชการซึ่งแต่เดิมงานราชการจะสงวนไว้ใช้เป็นกลไกของผู้ปกครอง  ประชาชนยากที่จะตรวจสอบ  แนวคิดที่จะให้ประชาชนปกครองดูแลกันเองในชุมชนมีความชัดเจนยิ่งขึ้นภายหลังที่ไทยประสบวิกฤตเศรษฐกิจปี พ.. 2540 ที่รัฐบาลได้ยืมมือประชาชนชั้นรากหญ้าช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจในฐานะมือที่มองไม่เห็น  (Invisible Hands) ตามหลักการทางเศรษฐศาสตร์มหภาคที่อดัม สมิธ ได้กล่าวถึงการสร้างความมั่งคั่งของชาติ (The Wealth of Nations) อธิบายหลักของตลาดเสรี การค้าและการแบ่งงานกันทำจะเป็นการเพิ่มผลิตภาพให้กับชาติ (Adam Smith, 2550) และรัฐบาลภายใต้รัฐบาลทักษิณได้กระจายทุน กระจายบริการสาธารณะไปยังท้องถิ่นอย่างเป็นรูปธรรมด้วยหลักการเพิ่มรายได้ลดค่าใช้จ่าย โดยการสร้างงาน สร้างอาชีพ ด้วยวิธีการคู่ขนานคือโครงการสร้างรายได้และลดค่าใช้จ่ายไปพร้อมกัน  แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของประชาชนที่เข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารบ้านเมือง เป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงหลักการพัฒนาประเทศภายใต้ระบอบประชาธิปไตยต้องยึดประชาชนเป็นตัวตั้ง  มีนักวิชาการได้ให้ความหมายของการมีส่วนร่วมทางการเมืองหลายคน  แต่ก็เป็นการอธิบายความมีส่วนร่วมในบริบทการเมือง (Political Constance) เสียมากกว่า แต่ละเลยที่จะมองการมีส่วนร่วมในเชิงบูรณาการทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การบริหาร และข้อมูลข่าวสาร ดังที่มีผู้ให้ความหมายเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมทางการเมืองไว้อย่างน่าสนใจหลายท่าน ดังที่จะกล่าวถัดไป

การมีส่วนร่วมทางการเมือง (สุจิต บุญบงการ, 2535) หมายถึงกิจกรรมที่บุคคลมีจุดประสงค์เพื่อมีอิทธิพลในกระบวนการตัดสินใจของรัฐบาล ความหมายนี้มีลักษณะที่น่าสนใจหลายประการ คือ
ประการแรก  การมีส่วนร่วมทางการเมืองในความหมายนี้เป็นเรื่องของกิจกรรมไม่ใช่ทัศนคติ การมีส่วนร่วมทางการเมืองในที่นี้ไม่ใช่เรื่องของความคิด ความรู้สึก หรือความเชื่อทางการเมือง แม้ว่า ทัศนคติทางการเมืองมีผลต่อรูปแบบหรือการแสดงออกของการมีส่วนร่วมทางการเมืองแต่ไม่ใช่เป็นกิจกรรม
ประการที่สอง การมีส่วนร่วมทางการเมืองใช้สำหรับบุคคลธรรมดา ส่วนนักการเมืองหรือผู้นำทางการเมือง การเกี่ยวข้องกับการเมืองเรียกได้ว่าเป็นเรื่องของการมีบทบาททางการเมือง
ประการที่สาม การมีส่วนร่วมทางการเมืองเป็นเรื่องของการแสดงออก เพื่อให้มีผลต่อการตัดสินใจของรัฐบาลหรือผู้นำประเทศ
ประการสุดท้าย การมีส่วนร่วมทางการเมืองอาจไม่มีผลเปลี่ยนแปลงต่อการตัดสินใจของผู้นำหรือรัฐบาลแต่อย่างใด แม้ว่าผู้มีส่วนร่วมมีวัตถุประสงค์กดดันรัฐบาล การมีส่วนร่วมทางการเมืองจะมีผลมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับอำนาจทางการเมืองของผู้มีส่วนร่วม ซึ่งมักมีอำนาจทางการเมืองไม่มากนักและไม่สามารถผลักดันการตัดสินใจของรัฐบาลได้ตลอดเวลาและทุกๆ เรื่อง

เอกสารประกอบการประชุม เรื่องแนวทางการเสริมสร้างประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 กล่าวถึง การมีส่วนร่วมของประชาชน หมายถึง การกระจายโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมือง การบริหารเกี่ยวกับการตัดสินใจในเรื่องต่างๆ รวมทั้งการจัดสรรทรัพยากรของชุมชนและของชาติที่จะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชน โดยการให้ข้อมูล แสดงความคิดเห็น ให้คำแนะนำปรึกษา ร่วมวางแผน ร่วมปฏิบัติ รวมตลอดจนการควบคุมโดยตรงจากประชาชน (คนึงนิจ  ศรีบัวเอี่ยม และคณะวิจัย, 2544) เช่นเดียวกับ กนก วงศ์ตระหง่าน (2532) ได้แสดงทัศนะไว้ว่า การมีส่วนร่วมทางการเมือง  หมายถึง การกระทำของปัจเจกบุคคลหรือกลุ่มบุคคล โดยมุ่งหวังให้การกระทำนั้นส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของผู้ใช้อำนาจทางการเมือง หรือต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในทิศทางที่ตนต้องการในระบอบประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมทางการเมืองมีหลายลักษณะ แต่ต้องดำเนินไปด้วยความสมัครใจของประชาชนในประเทศ เช่น การลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง การเดินขบวนอย่างมีเหตุผลและไม่ใช้ความรุนแรง การแสดงความคิดเห็นต่อโครงการหรือนโยบายของประชาชน เป็นต้น

กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน
ประเทศไทยออกแบบโครงสร้างการบริหารอำนาจรัฐที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในทางการเมืองสองในสามอำนาจ ยกเว้นอำนาจตุลาการที่ประชาชนยังไม่มีส่วนร่วมอย่างแท้จริง  อำนาจที่เชื่อมโยงกับประชาชนได้แก่ อำนาจนิติบัญญัติ และอำนาจบริหาร ในระดับชาติคือ รัฐสภาและรัฐบาล ส่วนในระดับท้องถิ่นคือ ราชการส่วนท้องถิ่น มีหน่วยปกครอง องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เทศบาล และองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ประชาชนมีส่วนร่วมตั้งแต่กระบวนการเข้าสู่อำนาจของตัวแทนหรือที่เรียกว่านักการเมือง  มีส่วนร่วมในการบริหารองค์กร  การถอดถอน ตามบทบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ลักษณะของการมีส่วนร่วมเช่น  การมีส่วนร่วมในฐานะผู้เฝ้าดู (Onlookers) ประชาชนจะแสดงออกทางการเมือง เช่น การเข้าร่วมชุมนุมในทางการเมือง  การเป็นสมาชิกกลุ่มผลประโยชน์ การไปหย่อนบัตรคะแนนเสียงเลือกตั้ง การพูดคุยสนทนาทางการเมือง หรือไม่สนใจเกี่ยวกับข่าวสารการเมือง ก็ถือเป็นผู้เฝ้าดู  และการมีส่วนร่วมในฐานะผู้เข้าร่วมในกิจกรรมทางการเมือง (Participants) ประชาชนจะแสดงออกทางการเมืองที่อยากเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของพรรคการเมืองเช่นการเป็นสมาชิกพรรคการเมือง การช่วยรณรงค์หาเสียงให้กับพรรคหรือผู้สมัคร  การเข้าไปร่วมกำหนดโครงการต่างๆ ของชุมชน  การมีส่วนร่วมทางการเมืองที่มีความเข้มข้นขึ้นไปอีกในฐานะ ผู้นำการเคลื่อนไหวทางการเมือง (Activists) การมีส่วนร่วมทางการเมืองในระดับนี้ เช่น การเป็นผู้นำทางการเมือง  การเป็นผู้บริหารพรรค  การสมัครรับเลือกตั้ง การเป็นผู้เบี่ยงเบนทางการเมือง การฆาตกรรมผู้นำการเมือง เป็นต้น (Roth & Wilson, 1980)

นักรัฐศาสตร์และนักเศรษฐศาสตร์ทางการเมืองได้หันมาให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของประชาชนมากขึ้น รวมทั้งมีการศึกษาปัจจัยที่กำหนดระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนอย่างกว้างขวาง  ซึ่งมีตัวอย่างที่น่าสนใจ เช่น International Association for Public Participation ได้แบ่งระดับของการสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนเป็น 5 ระดับ ดังนี้
1. การให้ข้อมูลข่าวสาร ถือเป็นการมีส่วนร่วมของประชาชนในระดับต่ำที่สุด แต่เป็นระดับที่สำคัญที่สุด เพราะเป็นก้าวแรกของการที่ภาคราชการจะเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าสู่กระบวนการมีส่วนร่วมในเรื่องต่างๆ วิธีการให้ข้อมูลสามารถใช้ช่องทางต่างๆ เช่น เอกสารสิ่งพิมพ์ การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารผ่านทางสื่อต่างๆ การจัดนิทรรศการ จดหมายข่าว การจัดงานแถลงข่าว การติดประกาศ และการให้ข้อมูลผ่านเว็บไซต์ เป็นต้น
2. การรับฟังความคิดเห็น เป็นกระบวนการที่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการให้ข้อมูลข้อเท็จจริงและความคิดเห็นเพื่อประกอบการตัดสินใจของหน่วยงานภาครัฐด้วยวิธีต่างๆ เช่น การรับฟังความคิดเห็น การสำรวจความคิดเห็น การจัดเวทีสาธารณะ การแสดงความคิดเห็นผ่านเว็บไซต์ เป็นต้น
3. การเกี่ยวข้อง เป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปฏิบัติงาน หรือร่วมเสนอแนะแนวทางที่นำไปสู่การตัดสินใจ เพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชนว่าข้อมูลความคิดเห็นและความต้องการของประชาชนจะถูกนำไปพิจารณาเป็นทางเลือกในการบริหารงานของภาครัฐ เช่น การประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อพิจารณาประเด็นนโยบายสาธารณะ ประชาพิจารณ์ การจัดตั้งคณะทำงานเพื่อเสนอแนะประเด็นนโยบาย เป็นต้น
4. ความร่วมมือ เป็นการให้กลุ่มประชาชนผู้แทนภาคสาธารณะมีส่วนร่วม โดยเป็นหุ้นส่วนกับภาครัฐในทุกขั้นตอนของการตัดสินใจ และมีการดำเนินกิจกรรมร่วมกันอย่างต่อเนื่อง เช่น คณะกรรมการที่มีฝ่ายประชาชนร่วมเป็นกรรมการ เป็นต้น
5. การเสริมอำนาจแก่ประชาชน เป็นขั้นที่ให้บทบาทประชาชนในระดับสูงที่สุด โดยให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจ เช่น การลงประชามติในประเด็นสาธารณะต่างๆ โครงการกองทุนหมู่บ้านที่มอบอำนาจให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจทั้งหมด เป็นต้น

ในขณะที่ Norman Nie, Jane Junn, และ Kenneth Stehlik-Barry (1996) ได้กล่าวถึงผลกระทบของระดับการศึกษาต่อระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองของสังคม พบว่า  ผลกระทบของการศึกษาต่อการตัดสินใจมีส่วนร่วมทางการเมืองของผู้คนแต่ละคน จะแบ่งออกเป็นสองรูปแบบ ได้แก่ รูปแบบแรก เรียกว่า ผลกระทบสัมบูรณ์ ซึ่งก็คือรูปแบบการศึกษาที่สร้างการรับรู้ถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมทางการเมือง
และส่งเสริมให้ผู้คนต่างเพิ่มระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองของตนขึ้น และรูปแบบที่สอง เรียกว่า ผลกระทบสัมพัทธ์ คือ ผลกระทบดังกล่าวจะเป็นผลกระทบของระดับการศึกษาโดยเฉลี่ยของผู้คนรอบข้างต่อการตัดสินใจเพิ่มระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองของผู้คน ผลกระทบที่สองนี้อาจเกิดขึ้นได้ทั้งในทางบวกและทางลบ
ในทางที่เป็นประโยชน์ การศึกษาจะสร้างเสริมการพูดคุยถ่ายทอดข่าวสารทางการเมืองการปกครอง จะกระตุ้นบรรยากาศของการเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมือง ในขณะที่ผลกระทบในทางลบจะเป็นสิ่งที่ผู้คนต่างคาดหวังกับการกระทำของบุคคลอื่น และลดทอนความคาดหวังในผลกระทบของบทบาทของตนเองลง โดยผู้คนที่ถูกแวดล้อมด้วยเพื่อนบ้านที่มีการศึกษาสูงอาจตัดสินใจไม่ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง โดยหวังว่าเพื่อนบ้านของตนที่มีการศึกษาสูงจะเข้าไปใช้สิทธิ์ และการตัดสินใจของเพื่อนบ้านคนดังกล่าวอาจจะดีกว่าการตัดสินใจของตนเอง นอกจากนั้นการใช้สิทธิ์โดยเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นก็ลดทอนอำนาจในการตัดสินผลการเลือกตั้งของผู้คนๆ หนึ่งด้วย ดังนั้นประโยชน์ที่บุคคลคนหนึ่งจะได้รับจากการใช้สิทธิ์จึงลดลงจนอาจจะต่ำกว่าต้นทุนที่ตนเองจะได้รับ   ความสัมพันธ์ในลักษณะไม่ใช่เส้นตรงระหว่างการศึกษา และระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองจึงเกิดขึ้น  

อย่างไรก็ตามผลกระทบจากระดับการทุจริตคอรัปชั่นของรัฐบาลต่อระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองของผู้คนในสังคม พบว่า การทุจริตคอรัปชั่นในระดับที่สูงขึ้นย่อมส่งผลให้ผู้คนในสังคมเกิดความเบื่อหน่ายต่อการเมือง และลดทอนระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนลง ในอีกทางหนึ่งระดับการทุจริตคอรัปชั่นของรัฐบาลก็ได้รับผลกระทบจากระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองของผู้คนในสังคมเช่นเดียวกัน โดยถ้าหากผู้คนมีระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองต่ำรัฐบาลก็มีช่องทางในการทุจริตคอรัปชั่นเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้นระดับการมีส่วนร่วมทางการเมืองและระดับการทุจริตของรัฐบาลจึงเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อกันและกัน  ฉะนั้น หากมีการเสริมสร้างให้ปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งอยู่ในระดับที่พึงปรารถนามากขึ้น ปัจจัยอีกด้านหนึ่งก็จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี และส่งผลกระทบที่สนับสนุนกันต่อไปในอนาคต

กระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน
ชุมชนตั้งอยู่ตามแหล่งความสมบูรณ์ของธรรมชาติที่เรียกว่า บ้าน หรือหมู่บ้าน ถ้าสืบย้อนกลับไปยังบรรพบุรุษหลายชั่วอายุคนจะเห็นว่าบ้านเหล่านั้นได้มาตั้งรกรากโดยกลุ่มคณาญาติพี่น้องหรือคนรู้จักชิดเชื้อกัน  มีวัฒนธรรมแบบเดียวกัน จึงมาตั้งบ้านเรือนอยู่ในละแวกเดียวกัน ต่อมาเมื่อมีลูกหลาน  ลูกหลานมีการแต่งงานระหว่างคนในบ้านเดียวกัน (หมายถึงชุมชน) หรือต่างบ้านจึงมีจำนวนครัวเรือนเพิ่มขึ้นเป็นหมู่บ้านซึ่งเป็นหน่วยปกครองขนาดเล็กที่สุดของไทย ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงมหาดไทย  หลายหมู่บ้านเป็นตำบล หลายตำบลเป็นอำเภอ และหลายอำเภอเป็นจังหวัดตามลำดับ ซึ่งเป็นการปกครองส่วนภูมิภาคที่ต้องอยู่ภายใต้การสั่งการจากส่วนกลาง การที่ชาวบ้านตั้งรกรากในเริ่มต้นเขาจะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เช่น ช่วยกันสร้างบ้าน  ลงแขกดำนา  หรืองานพิธีกรรมต่างๆ เช่น ขึ้นบ้านใหม่ งานแต่งงาน งานบวช งานศพ เป็นต้น ดังนั้นการร่วมมือร่วมใจของคนในชุมชนจึงเป็นวิถีชีวิตของการอยู่ร่วมกันของคนในชุมชนอยู่แล้ว
เมื่อสังคมเจริญทางด้านวิทยาการและเทคโนโลยีมีการติดต่อสื่อสารแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างชุมชนและสังคมในวงกว้างไม่ว่าจะเป็นระดับประเทศหรือระดับโลกที่ไหลบ่าเข้าสู่ชุมชนซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมที่มีอิทธิพลสูงต่อความเป็นอยู่ของชุมชน การพัฒนาชุมชนจึงถูกครอบงำด้วยอิทธิพลดังกล่าวในขณะเดียวกันชุมชนต้องพัฒนาตนเองให้อยู่รอด ชุมชนต้องมีความเข้มแข็งและรู้เท่าทันจึงจะสามารถยืนหยัดและพัฒนาได้อย่างยั่งยืน การที่ชุมชนจะเข้มแข็งได้นั้นต้องมีการพัฒนาให้มีสภาวะที่ไม่เป็นฝ่ายรับเอาทุกสิ่งทุกอย่างทั้งที่สร้างสรรค์และไม่สร้างสรรค์เข้ามาสู่ชุมชน ชุมชนที่เข้มแข็งต้องมีความสามารถเพียงพอที่จะรับเอาเฉพาะสิ่งที่สร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ต่อชุมชนเท่านั้น เป้าหมายที่ชุมชนควรพัฒนาชุมชนให้สู่ภาวะที่เรียกว่าเข้มแข็งคือ ต้องทำให้คนในชุมชนมีความสุข มีคุณภาพ มีคุณธรรม และใส่ใจในสิ่งแวดล้อม (สัญญา สัญญาวิวัฒน์, 2550)  การที่จะพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็งนั้นมิใช่เกิดจากคนใดคนหนึ่งหากแต่เป็นทุกคนในชุมชนที่ต้องร่วมมือร่วมใจ
การที่คนในชุมชนจะร่วมมือร่วมใจต้องให้เขาเห็นปัญหาว่าจะกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขา ให้เขารู้ว่าเมื่อให้ความร่วมมือแล้วจะก่อประโยชน์ต่อพวกเขา การพัฒนาชุมชนจะไม่มีการบังคับแต่จะเป็นการเปิดโอกาสให้คนในชุมชนมีส่วนในการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร (Inform) รับฟังความคิดเห็น  เข้าไปเกี่ยวข้อง (Involve) ให้ความร่วมมือลงมือปฏิบัติในกิจกรรมของชุมชน ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานของสิทธิมนุษยชน (Human Right) และเป็นหลักการพื้นฐานของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ที่ประชาชนสามารถพัฒนาตนเอง ครอบครัวและชุมชนด้วยคนของชุมชน   การบังคับให้พัฒนาชุมชนโดยเขาไม่เต็มใจหรือการจูงใจด้วยค่าจ้าง เช่น โครงการเงินผัน หรือโครงการสร้างงานในชนบท โครงการมิยาซาวา เป็นโครงการที่มิได้เกิดจากความต้องการของประชาชน แต่เป็นความต้องการของรัฐบาลด้วยวัตถุประสงค์ทางเศรษฐกิจมากกว่าการพัฒนาชุมชน 

กระบวนการพัฒนาแบบมีส่วนร่วมจึงเป็นหลักการที่ได้รับการยอมรับเป็นสากลและเป็นหลักการหนึ่งของธรรมาภิบาล (Good Governance) คือมีส่วนร่วมในการรับรู้ ร่วมคิด ร่วมตัดสินใจ เพื่อเพิ่มความโปร่งใสในการบริหารจัดการ การมีส่วนร่วมของคนในชุมชนอาจจะมีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับลักษณะและวัฒนธรรมของแต่ละชุมชน แต่ก็มีกระบวนการที่เป็นลักษณะร่วมที่เหมือนกันดังที่ J. Norman Reid  เจ้าหน้าที่ของ Usda Rural Development สำนักงานพัฒนาชุมชนของสหรัฐอเมริกา กล่าวว่าการมีส่วนร่วมจะประกอบด้วยขั้นตอนสำคัญได้แก่ ให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับงาน กิจกรรมมีส่วนในการพัฒนา (Many People)  ไม่ควรผูกขาดแบ่งกลุ่มหรือให้น้ำหนักกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง (Many Centers)  เปิดกว้างในการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร(Open And Advised) ให้ความสำคัญกับทุกความคิดจะไม่มีความคิดที่ไม่ดี (Open To All Ideas) ไม่แยกเขาแยกเราโดยเอาเรื่องเชื้อชาติ ศาสนา อายุ การศึกษา ภาษา ฯลฯ มาเป็นกำแพงกีดกันความร่วมมือร่วมใจ (Inclusive and Diverse) และเปิดใจกว้างไม่มีการควบคุมบังคับกะเกณฑ์กัน (Open Mind, Open Process) กล่าวโดยสรุป การมีส่วนร่วมของชุมชนเริ่มตั้งแต่การแสดงความคิดเห็น การตัดสินใจ  การดำเนินงานในทุกกิจกรรมของกระบวนการพัฒนาชุมชนและรับผลประโยชน์ร่วมกัน 

รัฐบาลและสังคมเห็นแล้วว่าการพัฒนาชุมชนโดยการออกแบบจากส่วนกลางนั้นไม่ประสบผลสำเร็จ การที่ส่วนกลางเป็นผู้กำหนดความต้องการให้กับชุมชนต่างๆ ที่กระจายกันอยู่ทั่วประเทศจึงไม่สอดคล้องกับความต้องการของชุมชนซึ่งมีหลากหลายในลักษณะที่แตกต่างกันทั้งในระดับลึกและกว้างในเรื่องของมนุษยศาสตร์  สังคมศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ หรือแม้กระทั่งชุมชนในภาคเหนือตอนบนแต่ละชุมชนจะมีความแตกต่างกันในรายละเอียดของวัฒนธรรมประเพณีพื้นบ้าน ดังนั้นการจะพัฒนาชุมชนให้ประสบผลสำเร็จต้องให้ชุมชนพัฒนากันเองโดยรัฐเป็นเพียงผู้สนับสนุนทรัพยากรที่ชุมชนขาดแคลนเท่านั้น

บรรณานุกรม

กนก วงศ์ตระหง่าน. (2532). วัฒนธรรมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย เอกสารการสอน
ชุดวิชาวิวัฒนาการการเมืองไทย หน่วยที่
8-15. นนทบุรี:   มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. 
คนึงนิจ  ศรีบัวเอี่ยม และคณะวิจัย. (2540). เอกสารประกอบการประชุม เรื่อง แนวทางการเสริมสร้างประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540: ปัญหา อุปสรรค ทางออก. กรุงเทพฯ: สถาบันพระปกเกล้า.
ธเนศวร์ เจริญเมือง. (2550). การปกครองท้องถิ่นกับการบริหารจัดการท้องถิ่น. กรุงเทพฯ:
โครงการจัดพิมพ์คบไฟ.
สัญญา  สัญญาวิวัฒน์. (2550). ทฤษฎีและกลยุทธ์การพัฒนาสังคม. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
สุจิต  บุญบงการ. (2535). การพัฒนาทางการเมืองของไทย: ปฏิสัมพันธ์ระหว่างทหาร  สถาบันการเมือง และการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
Norman, H. N. et al.(1996). Education and Democratic Citizenship in America. Chicago:
University of Chicago Press.
Roth, D. F., & Wilson, F. L. (1980).  The Comparative Study of Politics. 2nd ed. New York:  Prentice – Hall.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น