กระแสโลกาภิวัตน์กับเศรษฐกิจไทย
เรียบเรียงโดย
วชิรวัชร งามละม่อม
Wachirawachr Ngamlamom
แม้ว่าโลกาภิวัตน์
มิได้หมายถึง กระบวนการปรับเปลี่ยนตามกระแสการเปลี่ยนแปลงในโลก แต่ด้วยเหตุที่โลกาภิวัตน์เกิดจากแรงผลักดันของพลังทุนนิยมโลก
ซึ่งเข้มแข็งและรุนแรงจนท้ายที่สุดแล้ว
โลกาภิวัตน์ก็กลายเป็นแรงผลักดันที่ทำให้สังคมเศรษฐกิจไทยไม่เพียงแต่จะถูกผนวกเข้ากับระบบทุนนิยมโลก
และปรับเปลี่ยนตามกระแสโลกเท่านั้น
หากทว่าสังคมเศรษฐกิจไทยยังกระโดดเข้าสู่ลู่ทางเศรษฐกิจเพื่อไล่กวดหรือวิ่งหนีนานาประเทศ
(Catching
Up) (สังศิต พิริยะรังสรรค์ และผาสุก พงษ์ไพจิตร, 2538)
ในลู่ทางเศรษฐกิจในสังคมขณะนี้
กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมใหม่ในเอเชีย (Asian NICs) กำลังวิ่งไล่กวดประเทศกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมเก่า
กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมใหม่รุ่นที่สอง (Second Generation NICs: SGN’s) พยายามวิ่งไล่กวดรุ่นที่หนึ่ง ภายในกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมใหม่รุ่นที่สอง
ไทยพยายามวิ่งไล่กวดมาเลเซีย
โดยที่ในขณะเดียวกันก็วิ่งหนีอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ พร้อมๆ
กับที่สาธารณรัฐประชาชนจีนและเวียดนามพยายยามวิ่งไล่กวดประเทศอุตสาหกรรมกลุ่มที่สอง
ภายในทศวรรษหน้าจะเห็นภาพชัดเจนขึ้นว่า ใครเป็นผู้นำ
และใครเป็นผู้รั้งท้ายในกระบานการวิ่งไล่กวดทางเศรษฐกิจดังกล่าว
แต่การวิ่งไล่กวดในลู่ทุนนิยมโลก
ย่อมหนีไม่พ้นที่นานาประเทศจะต้องเลือกยุทธศาสตร์โลกาภิวัตน์พัฒนา
อันเป็นยุทธศาสตร์การพัฒนาที่แสวงหาประโยชน์จากกระบวนการโลกาภิวัตน์
โดยที่กระบวนการโลกาภิวัตน์ได้ค่อยๆ
ทำให้ยุทธศาสตร์การผลิตอันเป็นทางเลือกอื่นตีบตันลงตามลำดับ
สังคมเศรษฐกิจไทยก็ตกอยู่ในสถานะเช่นนี้ บรรดาผู้ทรงอิทธิพลทางการเมืองและเศรษฐกิจ
ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มทุน ชนชั้นนำทางอำนาจ และขุนนางนักวิชาการ ล้วนแล้วแต่สนับสนุนยุทธศาสตร์โลกาภิวัตน์พัฒนาทั้งสิ้น
แรงผลักดันให้ระบบเศรษฐกิจไทยเลือกเส้นทางโลกภิวัตน์พัฒนามิได้มาจากภายในประเทศเท่านั้น
หากยังมาจากต่างประเทศด้วย (รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์, 2538)
กระบวนการกำหนดนโยบาย
กระบวนการโลกภิวัตน์มีส่วนเปลี่ยนแปลงโฉมของกระบวนการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจในประเทศไทยไปในทางที่มีปัจจัยภายนอกประเทศมีบทบาทและอิทธิพลเพิ่มขึ้น
ในปัจจุบัน ดุลยภาพในตลาด
นโยบายเศรษฐกิจเกิดจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นนำทางอำนาจและกลุ่มขุนนางนักวิชาการฝ่ายหนึ่งกับกลุ่มผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มทุนอีกฝ่ายหนึ่ง
กระบวนการโลกาภิวัตน์ทำให้องค์กรเหนือรัฐมีบทบาทและอิทธิพลในกระบวนการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจในประเทศไทยมากขึ้น
องค์เหนือรัฐเหล่านี้มีอยู่ 2 ประเภท ได้แก่
องค์เหนือรัฐที่ทำหน้าที่เป็นโลกบาลดังเช่น กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)
ธนาคารโลก (IBRD) และองค์การการค้าโลก (WTO)
อีกประเภทหนึ่งได้แก่ บรรษัทระหว่างประเทศ (MNCs) การเติบโตของกลุ่มทุนภายในประเทศ
ทำให้กลุ่มผลประโยชน์เหล่านี้ทรงอิทธิพลในกระบวนการกำหนดนโยบาย ยิ่งกลุ่มทุนภายในประเทศผสานประโยชน์กับบรรษัทระหว่างประเทศด้วยแล้วบทบาทและอิทธิพลยิ่งมีมากขึ้นเป็นทวีคูณ บทบาทและอิทธิพลขององค์กรเหนือรัฐและกลุ่มทุนภายในประเทศ ยังผลให้กระบวนการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจเป็นกระบวนการที่ขาดความเป็นกลาง และเสริมความโน้มเอียงในการดำเนินนโยบายบางประเภท ความโน้มเอียงในการเลือกยุทธศาสตร์โลกาภิวัตน์พัฒนามากกว่ายุทธศาสตร์ชุมชนท้องถิ่นพัฒนา ความโน้มเอียงในการพัฒนาภาคตัวเมืองมากกว่าภาคชนบท และความโน้มเอียงในการเลือกเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจและการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมากกว่าเป้าหมายความเป็นธรรมในการกระจายรายได้และการแก้ปัญหาความยากจน (รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์, 2538)โครงสร้างการผลิต กระแสโลกาภิวัตน์มีส่วนช่วยเร่งการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการผลิตของระบบเศรษฐกิจไทย ความสำคัญของภาคเอกชนจะลดลง ในขณะที่ภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการมีความสำคัญมากขึ้น รูปแบบการผลิตปรับเปลี่ยนจากการผลิตที่ใช้แรงงานเข้มข้นและการผลิตที่ใช้ทุนเข้มข้น และอาจก้าวไปสู่การผลิตที่ใช้ความรู้เข้มข้นในที่สุดลักษณะของปัจจัยการผลิต กระแสโลกาภิวัตน์มีส่วนช่วยเพิ่มลักษณะของปัจจัยการผลิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งทุนและแรงงาน ในส่วนที่เกี่ยวกับทุน ทุนย่อมหลั่งไหลจากที่ซึ่งให้ผลตอบแทนอัตราต่ำไปสู่ที่ซึ่งให้อัตราผลตอบแทนสูง ยุทธศาสตร์โลกาภิวัตน์พัฒนา
ทำให้กลุ่มผลประโยชน์เหล่านี้ทรงอิทธิพลในกระบวนการกำหนดนโยบาย ยิ่งกลุ่มทุนภายในประเทศผสานประโยชน์กับบรรษัทระหว่างประเทศด้วยแล้วบทบาทและอิทธิพลยิ่งมีมากขึ้นเป็นทวีคูณ บทบาทและอิทธิพลขององค์กรเหนือรัฐและกลุ่มทุนภายในประเทศ ยังผลให้กระบวนการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจเป็นกระบวนการที่ขาดความเป็นกลาง และเสริมความโน้มเอียงในการดำเนินนโยบายบางประเภท ความโน้มเอียงในการเลือกยุทธศาสตร์โลกาภิวัตน์พัฒนามากกว่ายุทธศาสตร์ชุมชนท้องถิ่นพัฒนา ความโน้มเอียงในการพัฒนาภาคตัวเมืองมากกว่าภาคชนบท และความโน้มเอียงในการเลือกเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจและการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมากกว่าเป้าหมายความเป็นธรรมในการกระจายรายได้และการแก้ปัญหาความยากจน (รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์, 2538)โครงสร้างการผลิต กระแสโลกาภิวัตน์มีส่วนช่วยเร่งการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการผลิตของระบบเศรษฐกิจไทย ความสำคัญของภาคเอกชนจะลดลง ในขณะที่ภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการมีความสำคัญมากขึ้น รูปแบบการผลิตปรับเปลี่ยนจากการผลิตที่ใช้แรงงานเข้มข้นและการผลิตที่ใช้ทุนเข้มข้น และอาจก้าวไปสู่การผลิตที่ใช้ความรู้เข้มข้นในที่สุดลักษณะของปัจจัยการผลิต กระแสโลกาภิวัตน์มีส่วนช่วยเพิ่มลักษณะของปัจจัยการผลิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งทุนและแรงงาน ในส่วนที่เกี่ยวกับทุน ทุนย่อมหลั่งไหลจากที่ซึ่งให้ผลตอบแทนอัตราต่ำไปสู่ที่ซึ่งให้อัตราผลตอบแทนสูง ยุทธศาสตร์โลกาภิวัตน์พัฒนา
ซึ่งผลักดันให้มีการเปิดประเทศอย่างกว้างขวาง
ประกอบกับความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศ
ซึ่งช่วยเสริมความสมบูรณ์ของตลาดเงินและตลาดทุนในด้านสารสนเทศ ซึ่งช่วยเสริมความสมบูรณ์ของตลาดเงินและตลาดทุน
ในด้านสารสนเทศเกื้อกูลให้การเคลื่อนย้ายเงินทุนเป็นไปด้วยความคล่องตัวยิ่ง
ตลาดการเงินระหว่างประเทศมีเครือข่ายเชื่อมโยงในขอบเขตทั่วโลก
การเคลื่อนย้ายเงินทุนจากตลาดการเงินประเทศหนึ่งไปสู่อีกประเทศหนึ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
และเกิดขึ้นตลอดเวลา
นายทุนต่างชาติจะเข้ามาลงทุนแสวงหากำไรในตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศด้วย กระแสโลกาภิวัตน์ทำให้นายทุนไทยเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ที่ไร้สัญชาติ
ผู้ซึ่งพร้อมที่จะหอบหิ้วทุนเข้าไปลงทุน ณ ที่ใดก็ได้ที่ให้อัตราผลตอบแทนสูงสุด
ทุนจึงกลายเป็นปัจจัยการผลิต แรงงานก็มีลักษณะเฉกเช่นเดียวกัน
นักวิชาชีพที่ทำงานกับองค์การระหว่างประเทศและบรรษัทระหว่างประเทศ
ย่อมเคลื่อนย้ายแรงงานตามคำสั่งขององค์กรเหนือรัฐเหล่านี้
ในขณะที่แรงงานก่อสร้างต้องเคลื่อนย้ายตามบริษัทก่อสร้างระหว่างประเทศ
ยิ่งนายทุนไทยออกไปแสวงโชคด้วยการลงทุนในต่างประเทศด้วยแล้ว
แรงงานไทยก็ต้องเคลื่อนย้ายตามกระแสการเคลื่อนไหวของทุนไทย (สังสิต พิริยะรังสรรค์
และผาสุก พงษ์ไพจิตร, 2538)
ปัจจัยการผลิตจะสร้างปัญหาแก่เศรษฐกิจไทยในอนาคต
ประการแรก ลักษณะของทุนไทยจะเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเศรษฐกิจภูมิภาค
ขณะนี้อีสานไม่เพียงแต่ต้องแย่งชิงทุนไทยกับกรุงเทพฯและปริมณฑลเท่านั้น
หากทว่าอีสานยังต้องแย่งชิงทุนไทยกับอินโดนีเซียและสาธารณรัฐประชาชนจีนอีกด้วย
ประการที่สอง แรงงานไทยมีปัญหาการขาดแคลนแรงงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักวิชาชีพ
ช่างฝีมือ อีกด้านหนึ่ง กระบวนการโลกาภิวัตน์เกื้อกูลให้แรงงานต่างชาติ “ลอดรัฐ” เข้าสู่ประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นแรงงานพม่า บังคลาเทศ จีนฮ่อ ลาว กัมพูชา
แรงงานต่างชาติเหล่านี้เกือบทั้งหมดเป็นแรงงานไร้ฝีมือ
ในขณะที่ยุทธศาสตร์โลกาภิวัตน์พัฒนาขับดันแรงงานชนบทเข้าสู่เมือง
แรงงานไร้ฝีมือจากชนบทต้องแย่งชิงงานอาชีพกับแรงงานต่างชาติที่ “ลอดรัฐ” เข้ามา การเติบโตของกลุ่มทุน
กลุ่มทุนขนาดใหญ่กำลังเติบโตที่เป็นบรรษัทระหว่างประเทศของโลกที่สาม (Third
World Multinational: TWM) ลักษณะของทุนไทยกำลังแปรโฉมหน้าของทุนไทยให้เป็นทุนสากล
กระบวนการสากลโลกาภิวัตน์ของทุนไทย (Internationalization of Capital) ที่กำลังเกิดขึ้นนี้ ทำให้ทุนไทยกลายเป็นทุนที่ไร้สัญชาติ ทุนไทยจะไม่มีความผูกพันกับแผ่นดินแม่อีกต่อไป
พัฒนาการของทุนไทยที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
ทำให้เชื่อว่าทุนไทยมิได้มีพัฒนาการเฉพาะแต่ทุนพาณิชย์ (Commercial
Capital) ทุนการเงิน (Finance Capital) และทุนอุตสาหกรรม
(Industrial Capital) เท่านั้น หากแต่มีแนวโน้มที่จะก้าวไปสู่ทุนวัฒนธรรม
(Culture Capital) อีกด้วย
ระบบทุนนิยมในอนาคตจะเป็นระบบทุนวัฒนธรรม (Culture Capitalism) เพราะบัดนี้วัฒนธรรมกลายเป็นสินค้าที่ซื้อขายได้ (สรัญญา พาณิชย์กุล, 2538)
ประเทศชาติมั่งคั่ง
ประชาชนยากจน ยุทธศาสตร์โลกาภิวัตน์เป็นยุทธศาสตร์ที่เกื้อประโยชน์ของคนกลุ่มน้อย
แม้ว่าระบบเศรษฐกิจไทยยังจะธำรงฐานะสัมพัทธ์ในลู่วิ่งทางเศรษฐกิจ
แต่คนจำนวนมากในสังคมไทยจะต้องถูกทอดทิ้ง ปัญหาความยากจนจะยังไม่หมดไป
ในขณะที่การกระจายรายได้ยังไม่มีทีท่าดีขึ้น
สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติจะทรุดโทรมและร่อยหรอลงไปอีก และกระบวนการสร้างบ้านแปลงเมืองยังคงขยายตัวต่อไป
การทุ่มเททรัพยากรของรัฐ
ในการแก้ปัญหาในภาคตัวเมือง ก่อให้เกิดวงจรในการจัดสรรงบประมาณในแง่ที่ว่า
ทรัพยากรของรัฐที่เหลือไว้สำหรับการพัฒนาชนบทและการพัฒนาภูมิภาคจะมีน้อยกว่าที่ควรจะเป็น
ในสภาพการณ์ดังที่เป็นอยู่นี้ ไม่มีข้อสรุปใดๆ ที่กล่าวได้อย่างเหมาะสม
นอกจากจะกล่าวว่า ประเทศชาติมั่งคั่ง ประชาชนยากจน
แรงขับเคลื่อนของโลกาภิวัตน์ที่นำพาเงินทุนมูลค่ามหาศาลจากศูนย์กลางการเงินโลกไปสู่ประเทศกำลังพัฒนา
หรือที่ปัจจุบันรู้จักกันในนามประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) นั้นได้ส่งผลให้อุตสาหกรรมขนาดใหญ่
สามารถขยายตัวเติบใหญ่ได้มากและรวดเร็วขึ้น
โดยอุตสาหกรรมเหล่านี้ไม่เพียงมีน้ำเลี้ยงดีจากการได้รับเงินทุนจากต่างประเทศเท่านั้นหากแต่สินค้าที่ผลิตได้ก็มีทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศมารองรับอย่างมั่นคง
อย่างไรก็ดี
การแคลื่อนย้ายเงินทุนจากศูนย์กลางการเงินโลกอันเป็นแรงขับเคลื่อนของโลกาภิวัตน์นั้น
จะสามารถต่อสายเข้าหาอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่มุ่งผลิตเพื่อส่งออกและหรือทดแทนการเข้าเป็นหลัก
ขณะที่อุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดเล็กหรือ SME’s ดูจะไม่ค่อยได้มีโอกาสส้องเสพย์อานิสงส์ของเงินทุนดังกล่าวนัก
ทั้งๆที่อุตสาหกรรมกลุ่มนี้เป็นอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ในประเทศไทย จึงไม่น่าแปลกใจว่า
ทำไมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่กับอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดเล็กในไทยจึงเหมือนอยู่กันคนละโลก
แสดงให้เห็นถึงความเป็นทวิลักษณะ (Dualism) ของการพัฒนาอุตสาหกรรมในไทยอย่างชัดเจน
กล่าวคือ อุตสาหกรรมก็มีทั้งการบริหารการผลิต (Production Management) การบริหารการตลาด (Marketing Management) แบบเป็นเอกเทศ
เช่นเดียวกับที่เหล่าบรรดา SME’s ก็อยู่กับโลกส่วนตัวของตัวเอง
ขาดการเชื่อมโยง (Linkages) กับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ทั้งในรูปแบบของการเชื่อมโยงไปข้างหลัง
(Backward Linkages) และการเชื่องโยงไปข้างหน้า (Forward
Linkages) กล่าวคือ อุตสาหกรรมขนาดใหญ่และ SME’s ค่อนข้างตัดขาดจากกันทั้งในด้านการบริหารการผลิตและการตลาด
หรือแม้ว่าจะมีการเชื่อมโยงกันบ้างก็เล็กน้อยมาก ต่างกับประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งการเชื่อมโยง
(Integration) ระหว่างอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่จำนวนมากเป็นบริษัทข้ามชาติกับ
SME’s มีอยู่ค่อนข้างสูง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบริหารการรับช่วงการผลิต (Sub-contracting Management)
หรือการทำ “Out-Sourcing” เพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงและเกื้อกูลกันระหว่างอุตสาหกรรมขนาดใหญ่และ
SME’s กันมากขึ้น แบบอย่างการผลิตข้างต้น
ไม่เพียงเพิ่มโอกาสการกระจายผลพวงการพัฒนาอุตสาหกรรมระดับต่างๆ อย่างกว้างขวางขึ้น
ซึ่งก็เท่ากับเป็นการเพิ่มโอกาสรายได้ (Income Distribution) ที่เป็นธรรมมากขึ้นเท่านั้น หากแต่ยังอาจเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของภาคอุตสาหกรรมภายในประเทศด้วย
เพราะการบริหารรับช่วงการผลิต
โดยการที่อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ทำสัญญาให้อุตสาหกรรมขนาดกลางและเล็ก
ทำการผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์ วัตถุดิบ ฯลฯ ให้แก่ตนนั้น
ทำให้อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ไม่ต้องใช้โมเดลการผลิตแบบเหมารวม โดยทำการผลิตแบบรวมตัวในแนวดิ่ง
(Vertical Integration) กล่าวคือ
มีบริษัทลูกทำการผลิตชิ้นส่วน วัตถุดิบ ฯลฯ
เองเพื่อป้อนให้บริษัทแม่หรือเชื่อมโยงกันเฉพาะกิจการในเครือเดียวกัน
ซึ่งอาจผลกระทบต่อการรักษาหรือเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
และไม่เหมาะสมต่อสภาวะเศรษฐกิจขาลงเช่นในช่วงหลังเกิดวิกฤตการณ์ 2540 เป็นต้นมา (สมภพ มานะรังสรรค์, 2547)
เศรษฐกิจไทยได้เข้าสู่ยุคแห่งการแข่งขัน
ที่ทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นทุกขณะในโลกไร้พรมแดนยุคโลกาภิวัตน์
เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับการท้าทายของโลกแห่งการเปลี่ยนแปลง การท้าทายประการแรกคือ
การเปิดโลกเสรีซึ่งจะทำให้ธุรกิจไทยไม่สามารถที่จะได้รับการปกป้องจากรัฐทั้งในรูปแบบของการอุดหนุน
ทั้งในรูปแบบของภาษีศุลกากรและการผูกขาดธุรกิจไทยจำเป็นต้องพึ่งพาความสามารถของตนเองในการแข่งขันในโลกกว้าง
ประการที่สองที่ธุรกิจไทยจะต้องเผชิญก็คือ
การขยายจำนวนของประเทศคู่แข่งที่เป็นประเทศเกิดใหม่ (Emerging Economies)
ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากกลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์เดิม เช่น
กลุ่มประเทศอินโดจีน จีน และยุโรปตะวันออก
อีกกลุ่มเป็นประเทศที่แก้ไขปัญหาทั้งเศรษฐกิจและการเมืองเรียบร้อยไปแล้วและกำลังเข้าสู่การเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลก
เช่น ฟิลิปปินส์อินโดนีเซีย อินเดีย ศรีลังกา และบังคลาเทศ
อีกกลุ่มหนึ่งคือกลุ่มประเทศลาตินอเมริกาและคาริเบียนตลาดเกิดใหม่อีกส่วนหนึ่งมาจากกลุ่มประเทศที่อยู่ในแถบแอฟริกาตอนบนหรือกลุ่มประเทศที่อยู่ในแถบทะเลเมดิเตอเรเนียน
ประกบด้วย มอรอคโค อัลจีเรีย ตูนีเซีย อียิปต์ อิสราเอล และตุรกี ซึ่งกำลังจะเชื่อมโยงกับสหภาพยุโรป
ในกรอบของเขตการค้าเสรีเมดิเตอเรเนียนในอนาคต
การท้าทายอีกประการหนึ่งของเศรษฐกิจไทยก็คือความจำเป็นในการปรับตัวอันเป็นผลมาจากการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาคต่างๆ
ซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในแง่ความได้เปรียบเสียเปรียบเชิงการแข่งขัน (Comparative
Advantage) และการท้าทายประการสุดท้ายมาจากแนวโน้มการขยายตัวของการกีดกันทั้งในรูปของการปกป้องสภาพแวดล้อมและในด้านของสิทธิมนุษยชน
ตลอดจนการกำหนดมาตรฐานสินค้า ในการเผชิญกับการท้าทายดังกล่าวนี้
เศรษฐกิจและธุรกิจไทยจะต้องมีการปรับตัวในเชิงโครงสร้างเพื่อให้สามารถรองรับกับโลกแห่งการเปลี่ยนแปลง
การปรับโครงสร้างดังกล่าวนั้นในส่วนหนึ่งย่อมหมายถึงการปรับแนวนโยบายมหภาคในด้านต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของทรัพยากร มนุษย์ เทคโนโลยี โครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน
นโยบายการเงินและการคลัง ตลอดจนนโยบายต่างประเทศ ในการปรับโครงสร้างอีกประการหนึ่ง
ก็คือการปรับโครงสร้างในเชิงจุลภาคอันหมายถึง
การปรับโครงสร้างธุรกิจไทยเพื่อให้มีประสิทธิภาพในการแข่งขันและที่สำคัญที่สุดความสำเร็จในการปรับโครงสร้างของธุรกิจไทยนั้นย่อมขึ้นอยู่กับการชี้นำของแนวนโยบายมหภาค
นอกจากนี้ การปรับโครงสร้างการบริหารย่อมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ในทางมหภาคการปรับโครงสร้างองค์กรบริหารย่อมมายถึง
การปรับโครงสร้างองค์กรของรัฐในระดับกระทรวงในหลายกระทรวงเพื่อให้เกิดความมีเอกภาพ
และความร่วมมือในการดำเนินนโยบายอย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิภาพในการบริหารเพื่อแข่งขันกับโลกภายนอกยังหมายถึงความจำเป็นในการปรับกระบวนการทำงานให้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
นั่นก็คือการทำรีเอ็นจิเนียริ่ง
ศักยภาพในการแข่งขันของเศรษฐกิจไทยในอนาคตนั้นย่อมผูกพันกับการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับชุมชน
การพัฒนาภาคการเกษตรและเกษตรอุตสาหกรรมในระดับชุมชน
จึงเป็นอีกองค์ประกอบหนึ่ง ในกรอบของการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของเศรษฐกิจไทยทั้งยังเป็นองค์ประกอบที่ช่วยสร้างดุลยภาพของสังคม
การปรับองค์กรบริหารในระดับจุลภาคนั้นหมายถึง การพัฒนาเทคนิคการบริหาร
และการผลิตของภาคเอกชนให้ได้มีมาตรฐานสากลและในการบรรลุเป้าหมายดังกล่าวการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในองค์กรและการพัฒนาเทคโนโลยีจึงถือเป็นองค์ประกอบแห่งการปรับโครงสร้างที่สำคัญยิ่ง
ความสำเร็จของการพัฒนาเศรษฐกิจและการเมืองไทยในยุคโลกาภิวัตน์จึงขึ้นอยู่กับทิศทางแห่งการปรับโครงสร้างใน
3 มิติ คือ เศรษฐกิจ การเมือง และธุรกิจ อย่างไรก็ตามในการปรับโครงสร้างดังกล่าวนั้น
จะต้องคำนึงถึงผลกระทบที่มีต่อสังคมดุลยภาพทางสังคมจึงเป็นอีองค์ประกอบหนึ่งแห่งความสำเร็จของการปรับโครงสร้างของประเทศเพื่อเผชิญกับการแข่งขันในยุคโลกาภิวัตน์
(สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์, 2547)
***********************************************
บรรณานุกรม
รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์. (2548).
ข้อพิพาทการค้าระหว่างประเทศ: สินค้าเกษตร. กรุงเทพฯ:
โครงการ WTO Watch.
โครงการ WTO Watch.
สังศิต พิริยะรังสรรค์;
และผาสุก พงษ์ไพจิตร.
(2538). โลกาภิวัตน์กับสังคมเศรษฐกิจไทย. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
สมภพ มานะรังสรรค์. (2547).
โลกาภิวัตน์กับเศรษฐกิจแบบทวิลักษณ์. กรุงเทพฯ: สถาบันวิถีทรรศน์.
สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์. (2547).
การพัฒนาเศรษฐกิจและการเมืองไทย. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพฯ:
โครงการจัดพิมพ์คบไฟ.
สรัญญา
พาณิชย์กุล. (2538). มองสังคมไทยในยุคโลกาภิวัตน์. กรุงเทพฯ: เบี้ยฟ้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น