แนวคิดและทฤษฎีระบบ
เรียบเรียงโดย
วชิรวัชร งามละม่อม
Wachirawachr Ngamlamom
ระบบ หรือ System
ว่าเป็นของสิ่งหนึ่งหรือการกระทำหนึ่ง
ซึ่งมีความเชื่อมโยงซึ่งกันและกันและมีปฏิสัมพันธ์กัน
มีนักวิชาการได้ให้ความหมายของระบบ คือ ระบบสังคมในทัศนะของ Talcott Parsons ซึ่ง Malcolm Waters (1994) สรุปว่าระบบ
คือ ชุดขององค์ประกอบจำนวนหนึ่งซึ่งมีคุณสมบัติดังนี้ 1) องค์ประกอบทั้งหมดล้วนขึ้นต่อกันและกัน
(Interdependent) ในลักษณะที่ว่าเมื่อมีการผันแปรขึ้นในองค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่งก็จะส่งผลกระทบ
(Consequence) ไปถึงองค์ประกอบอื่นๆ ด้วย 2)
องค์ประกอบทั้งหลายมันมีความโน้มเอียงไปในทางที่จะรักษาไว้ซึ่งสภาวะดุลยภาพ
ซึ่งในตัวของมันเองก็มีลักษณะพลวัต (Dynamic Equilibrium) และ Waters
(1994) กล่าวถึงโครงสร้างพื้นฐานของระบบ (A – G – I – L) คือ 1) Adaptation คือ ความสามารถที่ระบบจะระดมทรัพยากรจากสภาพแวดล้อม
เพื่อก่อให้เกิดการคงอยู่ของระบบ (System Survival) ความสามารถดังกล่าวนี้ถึงเป็นเครื่องมือ
(Instrumental) ที่ระบบใช้ระดมทรัพยากรจากภายนอกระบบ (External) เพราะฉะนั้นจึงเขียนรวมๆ ในส่วนนี้ว่า Adaptation
(Instrumental/External) 2) Goal-Attainment คือ ความสามารถในการกำหนดเป้าหมายและทิศทางของระบบ
ถ้ามีเป้าหมายหลายอย่างระบบจะต้องกำหนดระดับความสำคัญของเป้าหมายดังกล่าวให้สอดคล้องกับทิศทางของสภาพแวดล้อม
และเหมาะสมกับทรัพยากรที่ได้จาก Adaptation
ความสามารถในการกำหนดเป้าหมายนี้ถึงเป็นเครื่องมือ (instrumental) ที่ระบบใช้จัดการกับปัญหาภายในของระบบเอง (Internal) ดังนั้นจึงเขียนรวมในส่วนนี้ว่า Goal-Attainment (Instrumental/Internal)
3) Integration คือ
ความสามารถของระบบในการบูรณาการระบบย่อยหรือองค์ประกอบต่างๆ
ของระบบให้สมัครสมาน กลมเกลียว และปราศจากความขัดแย้งให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ 4)
Latent Pattern-Maintenance and Tension-Management คือ ความสามารถของระบบในการผดุงรักษาอุดมคติของระบบ
ซึ่งมักจะแฝงเร้นอยู่ในจิตใจหรือความทรงจำร่วมกันของสมาชิกในระบบ เช่นเดียวกับ Waters
(1994) สรุปว่า “Societal Community” ซึ่งโดยสาระสำคัญ
คือ
การสร้างบรรทัดฐานที่เกี่ยวกับกฎข้อบังคับ (Regulative Norms) ให้ประชาชนอยู่ร่วมกันเป็นหมู่คณะ ได้แก่ A คือ
การระดมทรัพยากรจากสภาพแวดล้อมของประเทศโดยสถาบันที่ว่าด้วยสำนึกของความเป็นพลเมือง
(Citizenship) และสิทธิพลเมือง (Civil Rights) G คือ การกำหนดฐานะของบุคคล
ด้วยระบบการแบ่งสรรทรัพยากร เช่น ระบบกรรมสิทธิ์ I คือ
การบูรณาการบุคคลในสังคมเข้าด้วยกันโดยผ่านสัญญา (Contract)
ตลาด (Market) และเงินตรา (Money) L คือ
ความไว้วางใจร่วมกันโดยผ่านการบังคับใช้ (Implementation) ของกฎหมาย
(Legal Institutions) และกระบวนการยุติธรรมอย่างเสมอหน้า
นอกจากนี้ ระบบการเมือง
การจัดองค์กรแบบ Bureaucracy ในความเห็นของ Max Weber
คือ
การใช้อำนาจปกครองประเทศตามหลักเหตุผล – กฎหมาย (Rational - Legal Authority) ซึ่งทำให้องค์กรมีลักษณะดังต่อไปนี้ 1) กิจกรรมทุกประการจะต้องดำเนินไปตามกฎระเบียบ (Rules) ที่ตั้งขึ้น 2) กิจกรรมจะต้องแสดงถึงความสามารถเฉพาะด้านที่เจาะจงเสมอ (Specific Sphere of Competence)3) การจัดโครงสร้างขององค์กรจะต้องลดหลั่นกันจากสูงไปต่ำ (Organized Hierarchically) 4) บุคลากรจะต้องได้รับการฝึกฝนมาเป็นการเฉพาะเจาะจง 5) บุคลากรจะต้องไม่เป็นเจ้าของปัจจัยในการประกอบอาชีพ 6) บุคลากรมิใช่เจ้าของงานที่ตนเองทำ ฉะนั้นเขาจึงถูกปลดออกได้ ถ้าพิจารณาแล้วเห็นว่าขาดความเหมาะสม 7) กิจกรรมทั้งปวงจะต้องบันทึกไว้เป็นหลักฐาน เช่นเดียวกับ ทฤษฎีระบบสังคมในทัศนะของ Niklas Luhmann (1927-1998) กล่าวถึงระบบใหญ่ของสังคม (Societal System) และระบบย่อยของสังคม (Societal Subsystems) ซึ่งระบบจึงหมายถึงเส้นแบ่งขอบเขตระหว่างสิ่งที่มีความหมายกับสิ่งที่ไม่มีความหมาย (Meaning หรือที่ภาษาเยอรมนีเรียกว่า Sinn) กระบวนการก่อตัวของระบบเราเรียกว่า กระบวนการลดความสลับซับซ้อน (Reduction of Complexity) ที่มีอยู่ในโลกภายนอก โลกภายนอกที่ว่าซับซ้อนนั้นเป็นความซับซ้อนของข้อมูลหรือสารสนเทศ (Information) จำนวนไม่จำกัด ระบบการเมืองในฐานะเป็นระบบย่อยในระบบสังคม ระบบการเมืองในทัศนะของ Luhmann ปรากฏดังรูปภาพต่อไปนี้
ภาพ: ระบบการเมืองในทัศนะของ Luhmann
การใช้อำนาจปกครองประเทศตามหลักเหตุผล – กฎหมาย (Rational - Legal Authority) ซึ่งทำให้องค์กรมีลักษณะดังต่อไปนี้ 1) กิจกรรมทุกประการจะต้องดำเนินไปตามกฎระเบียบ (Rules) ที่ตั้งขึ้น 2) กิจกรรมจะต้องแสดงถึงความสามารถเฉพาะด้านที่เจาะจงเสมอ (Specific Sphere of Competence)3) การจัดโครงสร้างขององค์กรจะต้องลดหลั่นกันจากสูงไปต่ำ (Organized Hierarchically) 4) บุคลากรจะต้องได้รับการฝึกฝนมาเป็นการเฉพาะเจาะจง 5) บุคลากรจะต้องไม่เป็นเจ้าของปัจจัยในการประกอบอาชีพ 6) บุคลากรมิใช่เจ้าของงานที่ตนเองทำ ฉะนั้นเขาจึงถูกปลดออกได้ ถ้าพิจารณาแล้วเห็นว่าขาดความเหมาะสม 7) กิจกรรมทั้งปวงจะต้องบันทึกไว้เป็นหลักฐาน เช่นเดียวกับ ทฤษฎีระบบสังคมในทัศนะของ Niklas Luhmann (1927-1998) กล่าวถึงระบบใหญ่ของสังคม (Societal System) และระบบย่อยของสังคม (Societal Subsystems) ซึ่งระบบจึงหมายถึงเส้นแบ่งขอบเขตระหว่างสิ่งที่มีความหมายกับสิ่งที่ไม่มีความหมาย (Meaning หรือที่ภาษาเยอรมนีเรียกว่า Sinn) กระบวนการก่อตัวของระบบเราเรียกว่า กระบวนการลดความสลับซับซ้อน (Reduction of Complexity) ที่มีอยู่ในโลกภายนอก โลกภายนอกที่ว่าซับซ้อนนั้นเป็นความซับซ้อนของข้อมูลหรือสารสนเทศ (Information) จำนวนไม่จำกัด ระบบการเมืองในฐานะเป็นระบบย่อยในระบบสังคม ระบบการเมืองในทัศนะของ Luhmann ปรากฏดังรูปภาพต่อไปนี้
ภาพ: ระบบการเมืองในทัศนะของ Luhmann
กล่าวโดยสรุป ระบบ
คือความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบหลายองค์ประกอบนั้น
ความหมายที่ติดตามมาก็คือองค์ประกอบต่างๆ ที่มีความสัมพันธ์กันย่อมต้องขึ้นต่อกันและกันด้วย
นั่นหมายความว่าถ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในองค์ประกอบหนึ่งๆ
ก็ย่อมส่งผลกระทบต่อองค์ประกอบอื่นๆ ด้วยไม่มากก็น้อยเสมอ
เอกสารอ้างอิง
Weber, M. (1978). Economy and Society. London:
University of California.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น