แนวคิดการจัดกระบวนการเรียนรู้ในชุมชน
เรียบเรียงโดย
วชิรวัชร งามละม่อม
Wachirawachr Ngamlamom
ในส่วนนี้จะกล่าวถึงแนวคิดการจัดกระบวนการเรียนรู้ในชุมชน
ซึ่งได้แก่ 1)
ความหมายการเรียนรู้ของชุมชน 2) องค์ประกอบของการจัดกระบวนการเรียนรู้ในชุมชน
ได้แก่ 1) รวมคน 2) ร่วมคิด 3) ร่วมทำ 4) ร่วมสรุปบทเรียน 5) ร่วมรับผลการกระทำ
1. ความหมายของการเรียนรู้ในชุมชน
การเรียนรู้
(Learning) มีขอบข่ายกว้างกว่าการศึกษาหรือการฝึกอบรม ริชาร์ด เพทติงเกอร์ (Pettinger, 2000) กล่าวว่าการเรียนรู้เป็นกระบวนการในการก่อให้เกิดรูปแบบและพัฒนาความรู้
(Knowledge) ทักษะ (Skills) ทัศนคติ (Attitude) และพฤติกรรม (Behaviour) ซึ่งเป็นผลมาจากการศึกษา (Education) ฝึกอบรม (Training) การขัดเกลาทางสังคม (Socialization) และประสบการณ์ (Experience) การเรียนรู้จะก่อให้เกิดการปรับตัว การยอมรับ การมีแนวทาง
การปฏิบัติตามให้สอดคล้องกับสถานการณ์ต่างๆ
อย่างไรก็ดีการเรียนรู้ของแต่ละบุคคลจะมีความแตกต่างกันทั้งในแง่ของเวลาและขอบเขต บางคนเรียนรู้ได้เร็ว บางคนเรียนรู้ได้ช้า บางคนเรียนรู้ได้ครบถ้วน บางคนเรียนรู้ได้เฉพาะส่วน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละบุคคล ได้แก่
1) ความปรารถนาและแรงจูงใจ
2) คุณภาพ และวิธีการสอนหรือการเรียนรู้
3) สภาพบังคับที่จะเรียนรู้ทั้งที่เกิดจากตัวเขาเองที่ต้องการศึกษา
ต้องการเพิ่มทักษะ หรือคุณภาพงาน หรือเกิดจากการบังคับของผู้อื่นหรือองค์กรที่ต้องการให้เขามีความรู้หรือทักษะหรือคุณภาพงานตามที่ต้องการ
4) เกิดจากแรงเสริมของตนเองที่ต้องการพัฒนาในการสร้างโอกาสในหน้าที่การงานของตนเอง
5) ทัศนคติของแต่ละคนที่ต้องการเรียนรู้ในสิ่งใหม่ต้องการเพิ่มพูนความรู้และทักษะของตนเอง
การเรียนรู้นอกจากเป็นการเพิ่มพูนความรู้
ทักษะ และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแล้วยังทำให้มีความคิด แนวคิดในกรอบที่กว้างและรอบคอบมากขึ้น
มีเหตุมีผลมากขึ้น
ดังนั้นถ้าชุมชนใดมีการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องจะทำให้คนในชุมชนมีเหตุมีผลในการเลือกแนวทางในการพัฒนาชุมชนที่เห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อสมาชิกของชุมชน
ชุมชนเองก็จะมีเหตุและผลในการเลือกผู้นำของเขาได้ถูกคน
เลือกคนดีในสายตาของชุมชนที่จะนำพาชุมชนของตนเองพัฒนาได้อย่างยั่งยืน
ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาตนเอง พัฒนาครอบครัวและพัฒนาชุมชน
ชุมชนต้องปรับตัวให้อยู่รอดตลอดเวลา
เนื่องจากสภาพแวดล้อมไม่ว่าจะเป็นการเมือง เศรษฐกิจ
สังคม และวัฒนธรรมของประเทศและโลกเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน
ชุมชนที่ฉลาดในการปรับตัวเองนั้นต้องเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ (Learning Community) ดังแนวคิดของ Peter M. Senge (1990 อ้างถึงใน Stacey, 2000) เชื่อว่าองค์กรที่ฉลาดต้องเป็นองค์กรที่มีการมอบหมายให้ความไว้วางใจซึ่งกันและกันในหมู่สมาชิก
(Commitment) และสมาชิกมีความสามารถที่จะเรียนรู้ (Capacity
to Learn) โดยมีหลักการของการเรียนรู้อยู่ 5 ประการ ได้แก่ การคิดอย่างเป็นระบบ (Systems Thinking) ความสามารถที่จะเรียนรู้หรือเก่งที่จะเรียนรู้ (Peresonal Mastery) มีความเข้าใจรูปแบบภาพหมายให้เกิดขึ้นในอนาคต (Shared
Vision) ซึ่งอาจเกิดจากการตั้งสมมติฐานหรือสามัญการ (Generalization) การมีรูปแบบของการพัฒนาที่ต้องการบรรลุ (Mental Model) นั่นคือมีเป้าหมายที่ชัดเจน และเป้าหมายที่เกิดขึ้นต้องมาจากความคิดความเห็นร่วมกันของสมาชิก
(Building a Shared Vision)
และหลักการสุดท้ายต้องเรียนรู้ร่วมกัน (Team Learning)
การพัฒนาชุมชนต้องเริ่มด้วยกระบวนเรียนรู้ สิ่งที่เป็นพื้นฐานของการเรียนรู้ของชุมชน
คือ
วิธีการพัฒนาชุมชนซึ่งเป็นการผสมผสานกันในหลายศาสตร์ ดังที่ Peter M.S. อธิบายไว้ว่า
การเรียนรู้เป็นความรู้ที่กว้างกว่าการเรียนรู้ในระดับตนเองและครอบครัว
การเรียนรู้ยังเป็นการเสียสละที่จะทำงานให้กับส่วนรวมเพื่อปรับปรุงเงื่อนไขสภาพแวดล้อมที่จะยกระดับของการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมของชุมชนให้ก้าวหน้าโดยการอาสา
ร่วมงาน การร่วมคิด ริเริ่มสร้างสรรค์ให้กับชุมชน ความรู้ที่ควรรู้ ได้แก่
หลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
กระบวนการทางประชาธิปไตย (Democratic Procedures)
การทำงานร่วมกันอย่างจริงใจ (Voluntary Cooperation)
การพึ่งตนเอง การช่วยเหลือตนเอง (Self Help) การนำทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้
กับการพัฒนาชุมชนของตนเอง
ให้สามารถอยู่รอดและ พึ่งตนเองได้
โดยการศึกษานั้น ต้องเป็นการพัฒนาตนเองโดยการพึ่งพาทรัพยากรท้องถิ่น
การใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่าและให้ประโยชน์สูงสุด
สอดคล้องกับสมรรถนะของชุมชน คือการปฏิบัติได้จริง ความสำเร็จจึงจะเกิดขึ้นได้อย่างยั่งยืน
ในความหมายนี้ต้องมีการปฏิบัติการเพื่อส่งเสริมชุมชนต่างๆ
ให้ริเริ่มโครงการพัฒนาของตนเองขึ้น ดำเนินโครงการด้วยตนเอง
และใช้ทรัพยากรของชุมชนเพื่อบรรลุเป้าหมายในการ แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของตนเอง
การสร้างสมรรถนะของชุมชน ให้เข้มแข็งในระยะยาวกระทำอย่างผสมผสานกับมิติทางเศรษฐกิจสังคม
วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม
องค์ประกอบของการจัดกระบวนการเรียนรู้ในชุมชนประกอบด้วย
1) รวมคน
เริ่มจากการรวบรวมคนเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับตนเอง และสังคม
โดยวัตถุประสงค์เพื่อรวมพลังใจเป็นการเสริมใจซึ่งกันและกันทำให้เกิดจิตสำนึกร่วม
ในการแก้ปัญหาร่วมกัน
2) ร่วมคิด
เพื่อระดม พลังความคิด โดยผ่านการระดมสมอง เพื่อระดมความคิด สร้างความเข้าใจร่วมกัน
ร่วมวิเคราะห์ปัญหา จัดลำดับความสำคัญของปัญหา กำหนดแนวทาง วิธีการ
และแผนงานในการแก้ปัญหา
3) ร่วมทำ เพื่อรวม พลังการจัดการ ตามแผนงานและบทบาทหน้าที่กำหนด
4) ร่วมสรุปบทเรียนเพื่อสร้าง พลังปัญญา
ทำให้เกิดการเชื่อมต่อและนำไปสู่การพัฒนา
5) ร่วมรับผลจากการกระทำเพื่อสร้าง
โดยการยกย่อง ชื่นชม และให้กำลังใจคนที่เสียสละและทำงานให้ชุมชนและสังคม
ทำให้เกิดความภาคภูมิใจและมีความสุขจากการทำงานร่วมกัน
จากการศึกษาของ
วารุณี ชินวินิจกุล (2549) วิจัยเรื่อง
กระบวนการเรียนรู้ของชุนชนตามแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง กรณีศึกษาชุมชนไม้เรียง
พบว่ากระบวนการเรียนรู้ของชุมชนไม้เรียงเริ่มจากการรวมตัวของผู้นำชุมชนที่มีการใช้กระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการ
(Action Research) อย่างง่าย
เพื่อหาข้อสรุปที่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมและความเห็นรวมของชุมชน
และพบว่าการขับเคลื่อนใช้ผลของการค้นคว้าวิจัยจากช่วงของการริเริ่มก่อเกิดมาผลักดันให้ไปสู่การปฏิบัติ
โดยใช้ภาวะผู้นำและกระบวนการกลุ่ม ส่วนกระบวนการถ่ายทอดความรู้ของชุมชน
เป็นการสร้างโอกาสให้คนเกิดการเรียนรู้ร่วมกัน
หรือเป็นการยกระดับความสามารถในการคิดวิเคราะห์สาเหตุของปัญหา
ค้นหาและตัดสินใจกำหนดแผนหรือกิจกรรมทางเลือกใหม่ๆในการแก้ไขปัญหาที่สามารถดำเนินการได้จริงและเท่าทันการเปลี่ยนแปลง
โดยการสร้างจิตสำนึกให้ชุมชนมุ่งเน้นการแก้ปัญหาด้วยการพึ่งตนเอง สอดคล้องกับการศึกษาของ
พจนา เอื้องไพบูลย์ (2546) วิจัยเรื่อง
การพัฒนารูปแบบกระบวนการเรียนรู้ในชุมชนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
เพื่อวิเคราะห์กระบวนการและรูปแบบการเรียนรู้ในชุมชนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน พบว่า
กระบวนการเรียนรู้ทำให้ชุมชนมีศักยภาพในการคิดและปฏิบัติเพื่อการแก้ไขปัญหาและการพัฒนาด้านนิเวศ
เศรษฐกิจ และสังคมชุมชนให้ดีขึ้นและมีความสมดุล ประกอบด้วย 8 ขั้นตอน คือ การทบทวนความยากลำบากในชีวิต
การตรวจสอบถึงสาเหตุวิกฤตของกลุ่มแกนนำชุมชน
การกระตุ้นคนในชุมชนได้ตระหนักในสถานการณ์ที่เป็นปัญหาของชุมชน การหาทางออกในการแก้ไขปัญหา
การปฏิบัติตามทางเลือก การประเมินผลย้อนกลับ
การพัฒนาความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้น และการบูรณาการเข้าสู่ชีวิต
ผลจากการคิดและปฏิบัติของชุมชนทำให้ระบบนิเวศของชุมชนมีความสมบูรณ์ขึ้น
เศรษฐกิจชุมชนดีขึ้นและมีความมั่นคงขึ้น มีการผลิตทางการเกษตรมากชนิดเป็นเกษตรแบบผสมผสานโดยใช้ปุ๋ยอินทรีย์เนื้อหาของการเรียนรู้ครอบคลุมถึงกิจกรรมการเรียนรู้หลายลักษณะร่วมกันที่ทำให้ศักยภาพของชุมชนเพิ่มขึ้น
ได้แก่ การเรียนรู้จากการปฏิบัติในชีวิตประจำวัน การสนทนา พบปะหารือและประชุม
การสังเกตผลของกิจกรรม การถ่ายทอดภูมิปัญญาของปราชญ์ชาวบ้าน
การฝึกอบรมและดูงานในพื้นที่จริง การเรียนรู้ผ่านสื่อต่างๆ
การเป็นแหล่งถ่ายทอดความรู้ของชุมชน
การเรียนรู้ผ่านประเพณีและพิธีกรรม
การศึกษาของ
สมศรี จินะวงษ์ (2544)
วิจัยเรื่อง การวิเคราะห์กระบวนการเรียนรู้กิจกรรมทางเศรษฐกิจและการกระจายรายได้ในชุมชนที่ใช้แนวทางการพัฒนาแบบเศรษฐกิจพอเพียง
พบว่า
แนวคิดการพัฒนาแบบเศรษฐกิจพอเพียงในอดีตและปัจจุบันมีทั้งที่เป็นจุดร่วมและจุดต่าง
จุดร่วม คือ การเน้นเรื่องพออยู่พอกิน การพึ่งตนเอง การพึ่งพาซึ่งกันและกัน
การมีความสุขตามอัตภาพโดยไม่เบียดเบียนตนเองผู้อื่นและสิ่งแวดล้อม
จุดต่างคือในสภาพปัจจุบันการผลิตเป็นไปเพื่อสนองความต้องการในการบริโภคของครัวเรือนและเพื่อการค้า
การบริโภคเป็นไปทั้งเพื่อสนองความต้องการในการดำรงชีวิตและเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต
การแลกเปลี่ยนเป็นไปทั้งในระดับชุมชน ระดับประเทศและระดับโลก การจัดสรรหรือการแบ่งปันเป็นไปทั้งในระดับชุมชนและระดับรัฐ
กระบวนการเรียนรู้กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นอาศัยปัจจัยการเรียนทั้งปัจจัยภายใน
ปัจจัยภายนอก และปัจจัยสภาพแวดล้อม
โดยมีลักษณะการเรียนรู้ทั้งในระดับปัจเจกบุคคลและการรวมกลุ่มจากแหล่งเรียนรู้ทั้งจากภายในชุมชนและ
ภายนอกชุมชน วิธีการเรียนรู้ใช้ศรัทธาที่มีต่อบุคคล
และใช้ความศรัทธาในตนและกระบวนการมีส่วนร่วมเป็นเครื่องหนุนนำการเรียนรู้
และยังพบอีกว่าแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงทำให้มีการกระจายรายได้ของคนในชุมชนดีขึ้นผ่านประเพณีและพิธีกรรม
ลักษณะทางปัญญาของคนไทย
(Thai
Intellectuality) การที่ประเทศไทยมีการอึดอัดหรือติดขัด
ในความรู้แนวคิดทฤษฏีที่เราเรียนรู้มา
จะเป็นตัวสะท้อนอย่างหนึ่งว่าลักษณะทางปัญญาของเราว่าเป็นอย่างไร
การศึกษาเล่าเรียนในระดับสูงสามารถมีความรู้
มีทั้งด้านนามธรรมและรูปธรรม การศึกษาเรื่องนามธรรมกฏเกณฑ์ สามารถย่นระยะเวลาการเรียนรู้โดยไม่ต้องผ่านประสบการณ์
มรดกทางวัฒนธรรมสามารถเข้าใจสังคมได้รวดเร็ว
ฉะนั้นปัญหาทางความคิดนามธรรม
ถ้ามากก็แสดงถึงความล้มเหลวของระบบการศึกษาไทยเรา วัฒนธรรมในลักษณะเชื่อฟังมาก
ในครอบครัวก็เป็นอุปสรรคและปิดกั้นของการแลกเปลี่ยน และเปลี่ยนแปลงความคิดอย่างเสรี จากการที่ประเทศไทยมีลักษณะอนุรักษ์นิยม (Conservative)
แปลว่าอยู่กับที่ ไม่คิดอะไร ไม่เปลี่ยนแปลงอะไร
คงไว้เพื่อสภาพเดิมทุกอย่างที่เป็นลักษณะทางปัญญาอย่างหนึ่งซึ่งมีแนวโน้มทางอนุรักษ์นิยมสูง
เช่นนี้ คนไทยไม่รับการเปลี่ยนแปลง กลัวการเปลี่ยนแปลง
เห็นการเปลี่ยนแปลงเป็นลักษณะของการเสี่ยงภัย เพราะฉะนั้นอยู่กับที่ดีกว่า
อีกประการหนึ่งลักษณะความรู้ของคนไทยเรามีลักษณะคับแคบ (Narrow) เป็นการหยิบยืม (Borrow) แปลว่าไม่มีองค์ความรู้เป็นของตนเอง
ภูมิปัญญาของเราหยิบยืมจากต่างประเทศมา ซึ่งถ่ายทอดมาในลักษณะไม่แตะต้องข้ามสาขา
เช่น เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ ถือว่าเป็นผู้รู้ เชี่ยวชาญในสาขานั้นๆ ปัญญาจะจำกัดตัวเอง
หรือกรอบตัวเองอยู่ในสาขานั้นๆ
จึงทำให้ระบบความยากจนของชาวนาไม่สามารถหมดจากประการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยได้
สำหรับการพัฒนาที่จะเปลี่ยนแปลงอนาคตของชาวนา จะต้องสร้างการเรียนรู้ร่วมกัน
การนำภูมิปัญญาไทย
หรือความคิดดั้งเดิมบวกกับนวัตกรรมใหม่ในการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต
ไม่ใช่รอให้คนอื่นทำก่อน เนื่องจากชาวนาส่วนใหญ่มักยึดติดกับความคิดดั้งเดิม
ไม่กล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง กลัวการล้มเหลว เพราะประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมายังไม่ประสบความสำเร็จ
เมื่อพิจารณาในแง่การพอใจยอมรับความคิดใหม่ หรือ วิธีการใหม่ไปปฏิบัติตาม (Mosher, 1986 อ้างถึงใน บุญธรรม จิตต์อนันต์,
2536) ได้มีการแบ่งบุคคลเป้าหมาย คือ เกษตรกร ออกเป็น 5 ประเภท คือ 1) พวกรับเร็ว ทันสมัย หรือ บางทีเรียกว่า
พวกหัวก้าวหน้า
เพราะว่าเป็นพวกแรกในท้องถิ่นที่พอใจยอมรับแนวคิดความคิดใหม่ไปปฏิบัติตามทันที
ยอมเสี่ยงกับความเสียหายที่อาจบังเกิดขึ้น
ชอบทำการทดลองเพื่อให้เกิดผลกับคนหมู่มาก 2) พวกไม่รีรอ
พวกนี้ยอมรับตามพวกทันสมัยไปอย่างรวดเร็ว ไม่รีรอให้ชักช้าเสียเวลา 3) พวกขอความให้แน่ใจ
พวกนี้จะเฝ้าดูผลจาก 2 พวกแรกที่กล่าวมาก่อน
ต้องใช้เวลาพอสมควร แต่พอแน่ใจแล้วก็ยอมรับไปปฏิบัติโดยไม่ชักช้า 4) พวกไปทีหลัง เป็นพวกอนุรักษ์นิยม
มีความระมัดระวังมาก
จะไม่ยอมรับแนวคิดใหม่จนกว่าคนส่วนใหญ่ในท้องถิ่นจะยอมรับไปก่อนแล้ว 5) พวกรั้งท้าย
เป็นพวกสุดท้ายในท้องถิ่นที่ยอมรับแนวคิดใหม่หลังจากผู้อื่นยอมรับไปหมดแล้ว
ตัวอย่างการจัดกระบวนการเรียนรู้ในวิถีการทำนาของชาวนา: เดชา
ศิริภัทร ประธานมูลนิธิข้าวขวัญ
ซึ่งเป็นองค์กรเอกชนที่ดำเนินงานการพัฒนาพันธุ์ข้าวมากว่า 10 ปี ได้เฝ้าดูปัญหาของเกษตรกรด้วยความห่วงใย การที่ชาวนาไม่ยอมเปลี่ยนวิถีการทำนา
จนกระทั่งสภาพปัญหารุนแรงยิ่งขึ้น จึงได้ร่วมกับสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม
(สคส.) ทำโรงเรียนชาวนาขึ้นมา นำนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาช่วยในการจัดการเรียนรู้ให้แก่ชาวนาที่จังหวัดสุพรรณบุรี
โรงเรียนชาวนาเกิดขึ้นเมื่อต้น
พ.ศ.
2547 จากการรวมตัวของชาวนา จ.สุพรรณบุรี ใน 5 พื้นที่
คือ ตำบลบ้านโพธิ์ อำเภอเมือง ตำบลวัดดาว อำเภอบางปลาม้า ตำบลบ้านดอน อำเภออู่ทอง
และ ตำบลไร่รถ อำเภอดอนเจดีย์ ปัจจุบันมีนักเรียนชาวนาประมาณ 170 คน และมีสมาชิกเครือข่ายจากทั่วประเทศประมาณ 220 คน
หลักสูตรการเรียนการสอนจะมุ่งเน้นให้ชาวนาเรียนรู้วิธีการทำนาแบบไม่ใช้สารเคมี รู้จักพัฒนาและจัดการองค์ความรู้ด้านการจัดการศัตรูพืช
ปรับปรุงบำรุงดิน และพัฒนาพันธุ์ข้าวด้วยตนเอง
พร้อมทั้งฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น ทำให้เกิดสุขภาวะที่ดี เปลี่ยนวิธีคิด
ลด ละ เลิก สารเคมี
ชาวนาไม่สนใจที่จะนำระบบเกษตรกรรมยั่งยืนที่ส่งเสริมการทำนาข้าวโดยเรียนรู้เทคนิควิธีการต่างๆ
มากมาย ที่พร้อมจะให้นำไปใช้ในการทำเกษตรเพื่อเพิ่มผลผลิตให้สูงขึ้น
เพราะชาวนาส่วนใหญ่ไม่ยอมเปลี่ยนวิธีคิด สิ่งสำคัญคือจะต้องทำให้ชาวนาเปลี่ยนวิธีคิดให้ได้
วิธีการแปลงเปลี่ยนทัศนคติของชาวนาและสร้างแนวคิดใหม่ในการทำนา จะอาศัยวิธีการ 'ย้ำคิดย้ำทำ'
เพื่อทลายความเคยชินต่อการใช้สารเคมี
การย้ำคิดย้ำทำต้องอาศัยปัจจัยด้านกลุ่มคน จังหวะเวลา สถานที่ และการย้ำคิดย้ำทำในแนวความคิดเรื่องพิษภัยของการใช้สารเคมี
การชักจูงกลุ่มคนให้เข้าร่วมกิจกรรมในเวลาเดิม
สถานที่เดิม และแนวคิดเดิมซ้ำๆ เป็นการสร้างความเคยชินแบบใหม่เข้าไปแทนที่ความเคยชินแบบเดิม
ชาวนาจะเริ่มลดจำนวนครั้งในการใช้สารเคมีน้อยลง จนกระทั่งนำไปสู่การปฏิเสธการใช้สารเคมีอย่างสิ้นเชิง
โรงเรียนชาวนาจึงมีตารางเรียนวันเวลาเดิมเป็นประจำสัปดาห์ละ 1 วัน นัดกันเรียนเป็นกลุ่มทั้งภาคทฤษฎีจากการบรรยายของเจ้าหน้าที่มูลนิธิและวิทยากรภายนอก
เพื่อให้ชาวนาได้ทบทวนประสบการณ์ของตนเอง ชี้ให้เห็นภัยอันตรายต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม
เรียนรู้และสังเกตทดลองทำเกษตรแนวธรรมชาติด้วยตนเองทุกครั้ง
2. กระบวนการเรียนรู้ใหม่: เรียนไป ทำไป
สิ่งที่เกิดขึ้นภายหลังจากที่เกษตรกรเข้าโรงเรียนคือ
ชาวนาเริ่มเข้าใจถึงพิษภัยจากสารเคมีและหันมาให้ความสนใจดูแลสุขภาพของตนเองมากขึ้น
เมื่อเกษตรกรเกิดความตระหนักว่าการทำนาตามแนวปฏิวัติเขียวไม่ใช่คำตอบของคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
กลุ่มเกษตรกรจึงรวมตัวกันระดมความคิดทบทวนชีวิตที่ผ่านมา พลิกฟื้นภูมิปัญญาดั้งเดิมที่สูญหายให้กลับคืนมาอีกครั้ง
ผลจากการวางแผนร่วมกันชาวนาส่วนใหญ่เห็นว่าน่าจะนำพืชสมุนไพรพื้นบ้านมาประยุกต์ใช้ในการกำจัดศัตรูในข้าวทดแทนการใช้สารเคมี
เพื่อให้เกิดผลที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ อีกทั้งยังเป็นการช่วยลดต้นทุนการผลิตอีกด้วย
ก่อนเข้าโรงเรียนชาวนาที่รู้สึกสิ้นหวังกับแนวทางทำเกษตรกรรมแบบยั่งยืน
และมีอคติกับแนวคิดนี้ แต่ความรู้สึกเปลี่ยนไป เมื่อนำความรู้ที่ได้จากในโรงเรียนไปแก้ปัญหาในนาข้าวได้จริง
ภูมิปัญญาของต่างชาติทำให้คนไทยขี้เกียจ เพราะเขาคิดแทนให้หมด ชาวนาเพียงแค่นำไปใช้ฉีดพ่นในแปลงนา
ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่คงทนถาวร เพราะวงจรของวัชพืชมีอายุสั้นมาก
เกิดขึ้นเร็ว ตายเร็ว การแก้ปัญหาด้วยการซื้อ ก็ต้องซื้อไปเรื่อยๆ เท่ากับเป็นการลงทุนที่ไม่รู้จักจบ
การกำจัดศัตรูพืชโดยชีววิธี
นักเรียนชาวนาจะได้เรียนรู้วิธีการแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคและแมลงในแปลงนา โดยไม่ใช่สารเคมีซึ่งมีวิธีปฏิบัติหลัก
4 ประการ คือ
1) ปลูกพืชให้สมบูรณ์แข็งแรง ใช้พันธุ์ที่ต้านทานโรคแมลง ปรับปรุงดินให้สมบูรณ์อยู่เสมอ
2) อนุรักษ์ศัตรูธรรมชาติและไม่ใช้สารเคมีเด็ดขาด
3) หมั่นตรวจแปลงนาอย่างสม่ำเสมอ
4) รู้จักตัดสินใจใช้วิธีการต่างๆ ที่เหมาะสมในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
เช่น เมื่อมีการระบาดของโรคและแมลงก็ใช้สารสมุนไพรจากพืชฉีดพืช
หลักสูตรของโรงเรียนชาวนาจะฝึกสอนให้ชาวนาเป็นผู้ผลิตและเป็นผู้นำไปใช้เอง
การที่จะผลิตอะไรจึงต้องย้อนกลับไปดูว่าในแต่ละขั้นตอนของการผลิตข้าวเป็นอย่างไร การเรียนรู้ในระยะแรกจึงต้องทำการทบทวนปัญหาและความต้องการแก้ไขปัญหา
ผสานกับการมองดูว่าในชุมชนมีอะไรที่เป็นตัวแก้ไขให้ได้อยู่แล้วตามธรรมชาติ
กระบวนการเรียนรู้นักเรียนชาวนาจะถูกฝึกให้เป็นนักทดลอง
ต้องคิดต้องทำด้วยตนเอง เป็นการพิสูจน์ให้นักเรียนชาวนาได้ประจักษ์ด้วยตนเอง กิจกรรมที่เกิดในโรงเรียนจึงมีความหลากหลายเน้นนักเรียนชาวนาเป็นศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้
แล้วนำความรู้ที่ได้รับจากการเรียนกลับไปใช้ในที่นาของตัวเอง
การเรียนรู้แต่ละสัปดาห์ชาวนาจะได้รับเพิ่มเติมความรู้ภาคทฤษฎีจากวิทยากร
และได้ลงมือปฏิบัติจริงในแปลงนาของตนเองนา
ดูการเจริญเติบโตของต้นข้าวในแต่ละช่วงอายุ ตรวจดูโรคที่จะเกิดกับข้าว
และสำรวจแมลงในแปลงนาว่า มีแมลงชนิดใดบ้างและมีมากน้อยแค่ไหน
ต้องจับแมลงมาศึกษาวาดภาพแล้วเก็บข้อมูล โดยต้องสำรวจทุก 15 วัน
เพื่อนำข้อมูลมาแลกเปลี่ยนกันในกลุ่ม ทำให้เกิดความรู้ใหม่มากมาย
จากการศึกษาเรื่องแมลงทำให้พบความรู้ใหม่ว่า แท้จริงแล้วแมลงนั้นมีมากกว่า 2,000
ชนิด แต่ที่มีโทษต่อข้าวในแปลงนามีเพียงไม่กี่ชนิดที่เหลือส่วนใหญ่เป็นประโยชน์กับชาวนา
โดยจะเข้าไปทำลายศัตรูพืชในนาข้าว ขณะที่ลงมือปฏิบัติชาวนาจะต้องบันทึกข้อมูลที่ได้จากการสังเกตความเปลี่ยนแปลงในนาของตน
แล้วนำมาข้อมูลที่ได้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันในแต่ละสัปดาห์ เริ่มต้นด้วยการเรียนรู้เรื่องแมลง
การที่เกษตรกรได้มาเรียนร่วมกันแบบลงมือทำกันจริง
ทำให้ได้ความรู้ใหม่ๆ มากขึ้น จากที่ไม่เคยรู้มาก่อน ทั้งที่ความรู้นี้อยู่รอบตัว
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเกิดปัญหาหอยเชอร์รี่ในนาข้าว
เมื่อการซื้อสารเคมีมากำจัดหอยเชอร์รี่ ซึ่งมีราคาแพงมาก โรงเรียนจะให้รู้จักการสังเกตปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและคิดหาวิธีการแก้ปัญหา
จนพบว่าการแก้ปัญหาหอยเชอร์รี่น่าจะใช้หลักธรรมชาติที่ว่าพวกเดียวกันเมื่อตายแล้วจะไม่ชอบกัน
จึงทำการทดลองนำหอยเชอร์รี่ที่ตายแล้วมาตากแดดให้แห้งพอให้มีกลิ่นเหม็นๆ แล้วนำมาบดละเอียดผสมกับน้ำปล่อยเข้านาข้าว
ผลปรากฏว่าหอยเชอร์รี่จะไม่มาขึ้นในนาข้าวอีก
หลังจากทำนาได้ระยะหนึ่งต้นข้าวจะเจริญเติบโต
ระยะนี้จะมีแมลงที่เป็นศัตรูพืชมารบกวน ชาวนาจึงได้เรียนรู้เทคนิควิธีการใหม่ๆ ในการผลิตน้ำยากำจัดแมลงศัตรูพืชเอง
แทนการใช้สารเคมีฉีดพ่น โดยนำเอาเศษใบไม้ ผลไม้ ซากพืช ซากสัตว์ และสมุนไพรพื้นบ้านมาใช้ให้เกิดประโยชน์
เช่น การนำไพร ข่า ยาสูบ สะเดา กากน้ำตาล คูณ และเปลือกมะกรูด นำมาหมักรวมกัน 3 เดือน
นำมาฉีดพ่นในนาข้าว 7-10 วันต่อครั้ง
หรือปล่อยไปกับน้ำเข้าในนาเพื่อป้องกันหนอน
3. การร่วมกันจัดการความรู้
แต่เดิมหากจะมีเกษตรกรคนใดลุกขึ้นมาทำเกษตรแนวธรรมชาตินี้จะถูกหาว่าเป็น
"บ้า" ไม่มีใครคบด้วย มูลนิธิฯ จึงจับจุดนี้มาแก้ไขปัญหาและเห็นว่าการเรียนรู้เป็นกลุ่มจะมีพลังมากกว่าเมื่อประกอบกับสภาพปัญหาที่เกษตรแต่ละคนประสบนั้นร้ายแรง
ทำให้ทุกคนต้องการเปลี่ยนแปลงชีวิต เมื่อมีการชักชวนมาเข้าโรงเรียนชาวนา จึงมาเรียนอย่างล้นหลาม
ทำให้นักเรียนไม่รู้สึกโดดเดี่ยว ไม่ใช่พวกแปลกแยกจากกลุ่ม
ชาวนาจะมาแก้ปัญหาร่วมกัน การไปโรงเรียนจึงมีประโยชน์และมีผลต่อการใช้ในชีวิต อีกทั้งยังช่วยสร้างความสามัคคีให้เกิดในชุนชนอีกด้วย
กระบวนการสำคัญในการการจัดการความรู้สู่นักเรียนชาวนาจะอาศัยกระบวนการกลุ่มให้นักเรียนชาวนาได้คิดร่วมกัน
ฝึกร่วมกัน และคอยช่วยเหลือกัน กิจกรรมกลุ่มจะช่วยเสริมสร้างทักษะในการเรียน
กระบวนการกลุ่มจะมีบทบาทหลอมความคิด สมาชิกกลุ่มจะร่วมกันระดมสมอง เพื่อเรียนรู้องค์ความรู้ใหม่ๆ
ที่เหมาะสม โดยผ่านกิจกรรมการเรียนรู้ 3 เวที คือ เวทีชาวบ้าน
เวทีวิชาการ (เชิงปฏิบัติการ) เวทีอื่นๆ
เวทีชาวบ้าน
จะช่วยให้เกิดการอภิปราย การวิเคราะห์ประเด็นและปรากฏการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น นำไปสู่การแลกเปลี่ยนความรู้ความคิด
มุมมองจากประสบการณ์ของแต่ละบุคคลจะช่วยแสดงความคิดความอ่าน หากมีใครที่มีความคิดอย่างเข้าใจผิดและคิดคลาดเคลื่อนไป
กระบวนกลุ่มจะช่วยดึงกันให้เข้ามาสู่สิ่งที่พึงปรารถนา กลุ่มจะช่วยตรวจสอบกันเอง อันเป็นผลดีต่อการก้าวเดินของทุกคนร่วมกันในกลุ่ม
เวทีวิชาการ
(เชิงปฏิบัติการ) เจ้าหน้าที่โครงการจะทำหน้าที่
เป็นผู้ประสานและกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ เชื่อมโยงความรู้จากตำรา จากภายนอกมาสู่นักเรียน
โดยเป็นผู้ให้ข้อมูลที่ถูกต้อง สอนเทคนิควิธีการ เพื่อจะให้นักเรียนชาวนานำไปปฏิบัติ
แทบทุกครั้งเจ้าหน้าที่โครงการจะมีการบ้านให้นักเรียนชาวนากลับไปทำ จากโจทย์ที่พบในการดำเนินชีวิตประจำวันของการทำนาแล้วให้นำมาส่งในครั้งต่อไป
นอกจากนี้ยังมีเวทีอื่นๆ
ที่จะสนับสนุนการเรียนรู้ของนักเรียนชาวนา ได้แก่ การไปศึกษาดูงานที่แหล่งการเรียนรู้ต่างๆ
นอกชุมชน การเข้าร่วมการประชุมและสัมมนาในเวทีต่างๆ ทั่วไป ที่จะจัดโดยองค์กรและหน่วยงานทั้งของภาครัฐบาลและเอกชน จะเห็นได้ว่าการเรียนรู้เกิดขึ้นได้จากแหล่งการเรียนรู้อันหลากหลาย
นักเรียนชาวนาคือศูนย์กลางของการเรียนรู้ ข้อมูลหลายอย่างจากหลายแหล่งจะไหลเข้ามาสู่นักเรียนชาวนา
ในขณะที่นักเรียนชาวนาเองก็พร้อมและสมัครใจรับข้อมูล ไม่เฉพาะเพียงแต่การรับรู้ข้อมูลเพียงอย่างเดียว
แต่ยังนำไปใช้และพัฒนาความรู้ความสามารถของตนเองไป จนสามารถสร้างความรู้ขึ้นมาใช้ในการแก้ปัญหาได้เอง หลังจากกลุ่มเกษตรเลิกทำนาใช้สารพิษมาได้ระยะหนึ่ง
เจ้าหน้าที่ได้ขอความร่วมมือกับสาธารณสุขจังหวัดส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจเลือดให้แก่ชาวนา
พบว่า สิ่งที่เกิดขึ้นคือชาวนามีสุขภาพดีขึ้น
เมื่อชาวนาเกิดการร่วมกลุ่มทบทวนวิถีชีวิตการทำนา
ผลพลอยได้ที่ตามมาคือ การฟื้นฟูภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง กับประเพณีวัฒนธรรมในการทำนากลับมามีชีวิตอีกครั้ง
เช่น การลงแขกเกี่ยวข้าว การทำขวัญข้าว หรือการไหว้พระแม่โพสพ เป็นต้น
รอยยิ้ม เสียงหัวเราะของนักเรียนโรงเรียนชาวนาระหว่างที่อยู่ในห้องเรียน
เป็นบรรยากาศที่แตกต่างไปจากห้องเรียนอื่นๆ ที่ต้องนั่งเคร่งเครียดอยู่กับการเรียน
แต่สิ่งสำคัญที่สุดของโรงเรียนแห่งนี้คือ การที่เกษตรกรส่งผ่านความรู้ภูมิปัญญาและวิธีคิดการทำการเกษตรพอเพียง
ที่เหมาะสมกับสภาพของชุมชน ครอบครัว ซึ่งเป็นการจัดการความรู้ที่เป็นไปอย่างเรียบง่าย
และสอดคล้องกับวิถีชีวิตจากรุ่นสู่รุ่น สามารถเชื่อมโยงความรู้ภูมิปัญญาดั้งเดิมกับความรู้ใหม่อันจะนำไปสู่การทำเกษตรกรรมยั่งยืนต่อไป
4. หลักสูตรการเรียนการสอนของโรงเรียนชาวนา
หลักสูตรการเรียนการสอนของโรงเรียนชาวนาประกอบด้วย
3 หลักสูตร แต่ละหลักสูตรจะใช้เวลาทั้งสิ้น 18 สัปดาห์
สัปดาห์ละ 3 ชั่วโมง เนื้อหาของหลักสูตรมีดังนี้
1) ระดับประถมศึกษา - หลักสูตรการจัดการศัตรูพืชโดยชีววิธี
หลักสูตรนี้จะเรียนรู้เรื่องพืชสมุนไพรที่ใช้ในการกำจัดศัตรูพืช และระบบนิเวศในแปลงนา
2) ระดับมัธยมศึกษา -หลักสูตรการปรับปรุงบำรุงดินโดยไม่ใช่สารเคมี นักเรียนชาวนาจะได้เรียนรู้โครงสร้างของดิน
และวิธีการปรับปรุงดินโดยวิธีธรรมชาติ
3) ระดับอุดมศึกษา-หลักสูตรการพัฒนาพันธุ์ข้าวใหม่เหมาะสมกับระบบเกษตรกรรมยั่งยืน เนื่องจากระบบเกษตรกรรมยั่งยืนที่ไม่ใช้สารเคมีจะไม่เหมาะสมกับพันธุ์ข้าวเหล่านั้น
แต่เหมาะกับพันธุ์ข้าวพื้นเมือง เช่น พันธุ์หอมมะลิ นางมล สังข์หยด ฯลฯ ดังนั้นการพัฒนาพันธุ์ข้าวขึ้นใหม่ให้เหมาะสมกับระบบเกษตรกรรมยั่งยืนจึงเป็นสิ่งจำเป็น
วารุณี
ชินวินิจกุล (2549) วิจัยเรื่องกระบวนการเรียนรู้ของชุนชนตามแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง
กรณีศึกษาชุมชนไม้เรียง
พบว่ากระบวนการเรียนรู้ของชุมชนไม้เรียงเริ่มจากการรวมตัวของผู้นำชุมชนที่มีการใช้กระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการ
(Action Research) อย่างง่าย
เพื่อหาข้อสรุปที่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมและความเห็นรวมของชุมชน
และพบว่าการขับเคลื่อนใช้ผลของการค้นคว้าวิจัยจากช่วงของการริเริ่มก่อเกิดมาผลักดันให้ไปสู่การปฏิบัติ
โดยใช้ภาวะผู้นำและกระบวนการกลุ่ม ส่วนกระบวนการถ่ายทอดความรู้ของชุมชน
เป็นการสร้างโอกาสให้คนเกิดการเรียนรู้ร่วมกัน
หรือเป็นการยกระดับความสามารถในการคิดวิเคราะห์สาเหตุของปัญหา
ค้นหาและตัดสินใจกำหนดแผนหรือกิจกรรมทางเลือกใหม่ๆในการแก้ไขปัญหาที่สามารถดำเนินการได้จริงและเท่าทันการเปลี่ยนแปลง
โดยการสร้างจิตสำนึกให้ชุมชนมุ่งเน้นการแก้ปัญหาด้วยการพึ่งตนเอง
ในส่วนของผู้วิจัยสรุปว่ากระบวนการเรียนรู้จะช่วยพัฒนาศักยภาพของชาวนาในการคิดการปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหาซึ่งสามารถจัดกระบวนการเรียนรู้ได้หลายวิธี
ได้แก่ การสนทนา พบปะหารือ และประชุม การให้ทดลองปฏิบัติจริง การถ่ายทอดภูมิปัญญาของปราชญ์ชาวบ้าน การฝึกอบรมและดูงานในพื้นที่จริง การเรียนรู้ผ่านสื่อต่างๆ การเป็นแหล่งถ่ายทอดความรู้ของชุมชน การเรียนรู้จากศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีต่างๆ
ตลอดจนการเรียนรู้ผ่านประเพณีและพิธีกรรมต่างๆ ให้เป็นการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
จะทำให้ชาวนามีความรู้จริง สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง การผลิตมีประสิทธิภาพ
นำไปสู่การเป็นชาวนามืออาชีพ เป็นคนเก่งสามารถพึ่งตนเอง มีภูมิคุ้มกันตนเอง
และมีความสุขในวิถีสังคมพอเพียง
***************************************************
เอกสารอ้างอิง
พจนา เอื้องไพบูลย์. (2546). การวิจัยเรื่องการพัฒนารูปแบบกระบวนการเรียนรู้ในชุมชนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน: การศึกษาแบบพหุกรณี.
วิทยานิพนธ์ครุศาสตรดุษฎีบัณฑิต
สาขาบริหารการศึกษาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
สาขาบริหารการศึกษาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
วารุณี ชินวินิจกุล. (2549). การวิจัยเรื่องกระบวนการเรียนรู้ของชุนชนตามแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง
กรณีศึกษาชุมชนไม้เรียง อำเภอฉวาง จังหวัดนครศรีธรรมราช.
วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาพัฒนาสังคม
สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์.
วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาพัฒนาสังคม
สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์.
สมศรี จินะวงษ์. (2544). การวิจัยเรื่องการวิเคราะห์กระบวนการเรียนรู้กิจกรรมทางเศรษฐกิจและการกระจายรายได้ในชุมชนที่ใช้แนวทางการพัฒนาแบบเศรษฐกิจพอเพียง.
วิทยานิพนธ์ครุศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
วิทยานิพนธ์ครุศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น