หน้าแรก

วันอังคารที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2558

ทฤษฎีพัฒนาการทางจริยธรรม



ทฤษฎีพัฒนาการทางจริยธรรม

เรียบเรียงโดย
วชิรวัชร  งามละม่อม
Wachirawachr  Ngamlamom

จริยธรรมเป็นสิ่งที่สังคมกำหนดขึ้นมาว่า อยากจะให้สมาชิกของสังคม มีพฤติกรรมที่สังคมนิยมชมชอบอยู่ในตัว และลักษณะใดที่สังคมไม่นิยมก็ไม่อยากให้สมาชิกมีอยู่ในตัว
จริยธรรมแบ่งได้เป็น 4 ด้าน คือ
1) ความรู้เชิงจริยธรรม หมายถึง ความรู้ว่าอะไรดีอะไรชั่วภายในสังคมของตน แต่ความรู้ว่าอะไรดีอะไรชั่วนี้ยังเป็นข้อสรุปว่า คนจะต้องทำตามที่ตนเองรู้เสมอไปเช่นรู้ว่าคอรัปชั่นเป็นสิ่งเลว ก็ไม่แน่ว่าจะไม่คอรัปชั่น
2) ทัศนคติเชิงจริยธรรม คือ ความรู้สึก ของบุคคลที่มีต่อสิ่งถูกสิ่งผิดในสังคมว่า ชอบหรือไม่ชอบ ทัศนคติมีลักษณะจูงใจให้คนทำพฤติกรรมตามทัศนคติค่อนข้างมาก
3) เหตุผลเชิงจริยธรรม หมายถึง การใช้เหตุผลที่บุคคลใช้เลือกที่จะทำ หรือไม่เลือกที่จะทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ตัวอย่างเช่น ถ้าเด็กคนจนต้องขโมยเงินมาซื้อยาให้แม่ที่เจ็บป่วยอยู่เด็กจะให้เหตุผลว่าเขาทำอย่างนั้นถูกแล้วเพราะเขาต้องมีความกตัญญู จริยธรรมเรื่องความซื่อสัตย์ต้องเป็นรองเพราะเขาเป็นคนจน
4) พฤติกรรมเชิงจริยธรรม เป็น พฤติกรรม ที่คนแสดงออกมาตามที่สังคมนิยมชื่นชอบ หรืองดเว้นการแสดงพฤติกรรมที่ฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ของสังคม เช่นการให้ทาน นอกจากนั้น ยังหมายถึงพฤติกรรมที่แสดงออกในสภาพการณ์ที่ยั่วยุ เช่น ถ้ามีคนมาให้สินบนข้าราชการเขาจะรับหรือไม่

เปียเจท์ และ โคลเบิร์ก เชื่อว่าพัฒนาการทางสติปัญญาและอารมณ์เป็นรากฐานของพัฒนาการทางจริยธรรมหมายความว่า บุคคลจะพัฒนาจริยธรรมได้มากน้อยเพียงไรขึ้นอยู่กับว่าเขามีความเข้าใจมากน้อยเพียงไร ซึ่งหมายความว่าจริยธรรมของเด็กจะเจริญขึ้นตามความเจริญของสติปัญญา
โคลเบิร์ก ได้ทำการวิเคราะห์เหตุผลเชิงจริยธรรม โดยทำการวิเคราะห์คำตอบของเยาวชนอเมริกันอายุ 10-16 ปี และแบ่งประเภทเหตุผลเชิงจริยธรรมไว้ 6 ประเภทคือ
ระดับที่ 1 ขึ้นก่อนกฎเกณฑ์ หมาถึงการตัดสินใจเลือกกระทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตนเอง
โดยไม่คำนึงถึงผลที่จะเกิดแก่ผู้อื่น นั้นนี้จะแยกเป็น 2 ระยะ คือ
1.1 มีลักษณะที่จะหลบหลีกมิให้ตนเองถูกลงโทษทางกาย เพราะกลัวความเจ็บปวดที่จะได้รับและยอมทำตามคำสั่งของผู้ใหญ่เพราะเป็นผู้มีอำนาจทางกายเหนือตน
1.2 มีลักษณะเลือกการกระทำ ในสิ่งที่จะนำความพอใจมาให้ตนเท่านั้น เริ่มรู้จักการแลกเปลี่ยนกันแบบเด็กๆคือเขาทำมา ฉันต้องทำไป เขาให้ฉัน ฉันก็ให้เขาดังนี้ เป็นต้น
ระดับที่ 2 ระดับตามกฎเกณฑ์ หมายถึงการทำตามกฎเกณฑ์ของกลุ่มย่อยๆ ของตน หรือทำตามกฎหมายและศาสนา บุคคลที่มีจริยธรรมในระดับ 2 นี้ยังต้องการการควบคุมจากภายนอก แต่มีความสามารถในการเอาใจเขามาใส่ใจเรา และมีความสามารถที่จะแสดงบทบาททางสังคมได้ ขั้นนี้แบ่งเป็น 2 ขั้นย่อยคือ
2.1 บุคคลยังไม่เป็นตัวของตัวเองเลยชอบคล้อยตามการชักจูงของผู้อื่นโดยเฉพาะเพื่อน
2.2 บุคคลที่มีความรู้บทบาทหน้าที่ของตนในฐานะที่เป็นหน่วยหนึ่งในสังคมของตน จึงถือว่าตนมีหน้าที่ทำตามกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่สังคมของตนกำหนดหรือคาดหมาย
ระดับที่ 3 ระดับเหนือกฎเกณฑ์ หมายถึงการตัดสินข้อขัดแย้งต่างๆด้วยการนำมาคิดตรึกตรองชั่งใจโดยตนเองแล้วตัดสินใจไปตามแต่ว่า จะเห็นความสำคัญของสิ่งใดมากกว่ากัน แบ่งเป็น 2 ขั้นย่อยเช่นกันคือ
3.1 มีลักษณะเห็นความสำคัญของคนหมู่มาก ไม่ทำตนให้ขัดต่อสิทธิอันพึงมีพึงได้ของผู้อื่น สามารถควบคุมบังคับจิตใจตนเองได้
3.2 เป็นขั้นสูงสุด มีลักษณะแสดงทั้งการมีความรู้สากลนอกเหนือจากกฎเกณฑ์ในสังคมของตน และมีการยืดหยุ่นทางจริยธรรม เพื่อจุดมุ่งหมายในบั้นปลายอันเป็นอุดมคติที่ยิ่งใหญ่ นอกจากนี้ยังมีหลักประจำใจซึ่งตรงกับหลักในพระพุทธศาสนาที่เรียกว่า " หิริ - โอตตัปปะ "ด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น