กระแสโลกาภิวัตน์กับการเมืองไทย
เรียบเรียงโดย
วชิรวัชร งามละม่อม
Wachirawachr Ngamlamom
กระแสโลกาภิวัตน์ทำให้แนวความคิดว่าด้วยรัฐประชาชาติสิ้นความหมาย
ทั้งนี้เนื่องจาก บทบาทและอิทธิพลขององค์กรเหนือรัฐที่เข้าไปแทรกแซงกิจกรรมของประเทศต่างๆ
ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ยุทธศาสตร์โลกาภิวัตน์พัฒนา
ซึ่งก่อเกิดบนพื้นฐานของปรัชญาเศรษฐกิจเสรีนิยม
มีส่วนพังทลายกำแพงกีดขวางการเคลื่อนย้ายสินค้าและบริการ
รวมตลอดจนปัจจัยการผลิตทั้งทุนและแรงงานระหว่างประเทศ
ในขณะที่ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศช่วยเกื้อกูลให้ตลาดสินค้าและตลาดปัจจัยการผลิตมีความสมบูรณ์มากขึ้น
อันเป็นผลจากความสมบูรณ์ของข้อมูลข่าวสาร
แนวความคิดว่าด้วยรัฐประชาชาติจึงสิ้นความหมาย
ในขณะที่การกำหนดพรมแดนเป็นหลักการพื้นฐานของรัฐประชาชาติ
แต่บัดนี้ประชาชาติกลายเป็นรัฐที่ไร้พรมแดน (สังศิต พิริยะรังสรรค์ และผาสุก
พงษ์ไพจิตร, 2538)
รัฐไทยก็ดุจดังนานาประเทศที่กลายเป็นรัฐที่ไร้พรมแดนและกำลังพัฒนาไปเป็นรัฐภูมิภาค
ดังจะเห็นได้จากความพยายามในการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจด้วยสูตรผสมในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสามเหลี่ยมเศรษฐกิจ
สี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ หรือหกเหลี่ยมเศรษฐกิจ ทั้งนี้
เพื่อขยายเครือข่ายความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ
อันเป็นฐานสำหรับการวิ่งแข่งในลู่วิ่งทุนนิยมต่อไป กระแสโลกาภิวัตน์จะสร้างแรงกดดันให้ระบอบการเมืองการปกครองของไทยเปลี่ยนแปลงไปอีกมาก
ในอนาคต ยุทธศาสตร์โลกาภิวัตน์พัฒนาซึ่งเสริมฐานความมั่นคงแก่กลุ่มทุน
จะทำให้กลุ่มทุนเข้าไปยึดพื้นที่ในโครงสร้างชนชั้นนำทางอำนาจเพิ่มขึ้น
กลุ่มทุนไม่เพียงแต่จะมีตัวแทนในคณะรัฐมนตรีเพิ่มขึ้นเท่านั้น หากยังสามารถขยายฐานในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาอีกด้วย
ประการแรก กลุ่มทุนสามารถครอบงำพรรคการเมืองได้มากขึ้น ผลที่ตามมาก็คือ
กลุ่มทุนมีบทบาทและอิทธิพลในกระบวนการกำหนดนโยบายชนิดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
ประการที่สอง แม้ว่าระบอบการเมืองการปกครองจะมีลักษณะรวมศูนย์อำนาจเข้าสู่ส่วนกลางและชนชั้นปกครองแข็งขืนต่อการกระจายอำนาจ
แต่กระแสโลกาภิวัตน์จะกดดันให้การกระจายเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องทำเพราะการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในส่วนภูมิภาค
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณรัฐชายขอบเป็นเรื่องที่อยู่เหนือการควบคุมและการรับรู้ของรัฐบาลส่วนกลางมากขึ้นเรื่อยๆ
ปัญหาและความขัดแย้งจะสั่งสมจนสุดวิสัยที่รัฐบาลส่วนกลางจะแก้ไขเยียวยาได้
ระบบอุปถัมถ์ทางการเมืองการปกครองก็แปรเปลี่ยนไปด้วย
เนื่องเพราะเงินเข้ามาเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนในตลาดการเมืองมากขึ้น
ตลาดการเมืองซึ่งแต่เดิมเป็นตลาดแลกเปลี่ยนการอุปถัมภ์กับความภักดีทางการเมืองจะแปรสภาพเป็นตลาดซื้อขายความชอบธรรม
ทั้งนี้ไม่เพียงแต่จะมีการซื้อขายเสียงเท่านั้น หากยังมีการซื้อขายตำแหน่งอื่นๆ
ดังเช่น ตำแหน่งวุฒิสมาชิกและตำแหน่งราชการอีกด้วย
เอกสารอ้างอิง
สังศิต
พิริยะรังสรรค์; และผาสุก พงษ์ไพจิตร. (2538). โลกาภิวัตน์กับสังคมเศรษฐกิจไทย.
กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น