ทฤษฎีการกระจายอำนาจการปกครอง
เรียบเรียงโดย
วชิรวัชร งามละม่อม
Wachirawachr Ngamlamom
ในเรื่องแนวคิดเกี่ยวกับการกระจายอำนาจกับการปกครองท้องถิ่นนั้น
เกิดจากการจัดโครงสร้างในการบริหารงานของรัฐสมัยใหม่ที่รัฐให้บริการสาธารณะเพียงลำพังย่อม
ไม่เป็นการเพียงพอ (เอกดนัย บุญนำ, 2546)
ดังนั้น แนวคิดการกระจายอำนาจจึงถูกคาดหวังว่าจะช่วยแก้ปัญหาต่างๆ
ในท้องถิ่นได้ ทั้งเป็นการสนับสนุนการปกครองแบบประชาธิปไตย
ตามสภาพภายในของแต่ละประเทศ และเป็นการปรับเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างคนชนบท
กับผู้บริหารที่ทำหน้าที่กำหนดนโยบาย
ชำนาญ ยุวบูรณ์ (2503) อธิบายว่าการกระจายอำนาจ
แบ่งได้เป็น 2 แนวทาง คือ แนวทฤษฎีดั้งเดิม และแนวทฤษฎีใหม่
ได้แก่
1) ทฤษฎีดั้งเดิม
ได้ให้ความหมาย 2 ลักษณะ ได้แก่ การกระจายอำนาจตามอาณาเขต และการกระจายอำนาจตามกิจการ
2) ทฤษฎีสมัยใหม่
การกระจายอำนาจ แนวทฤษฎีนี้ ไม่เห็นด้วยที่จะแยกความหมายของการกระจายอำนาจ
ออกเป็นการกระจายอำนาจตามอาณาเขต และการกระจายอำนาจตามกิจการ
แนวคิดเกี่ยวกับการกระจายอำนาจได้มีนักวิชาการ
เช่น ประยูร กาญจนดุล (2523)
กล่าวว่าการกระจายอำนาจ หมายถึง การกระจายอำนาจปกครองประเทศจากส่วนกลางบางอย่าง
โอนไปให้ประชาชนในท้องถิ่นฝึกหัดจัดทำ ซึ่งถือว่าเป็นการปกครองท้องถิ่นของตนเอง ส่วนสถาบันภาษาศาสตร์
(อ้างถึงใน ดำรงศักดิ์ บุญลา, 2540)
กล่าวว่า ความหมายของการกระจายอำนาจมีอยู่ 2 นัย คือ 1) มอบอำนาจการปกครอง ถือว่าการกระจายอำนาจเป็นหลักการปกครองที่รัฐบาลกลางได้มอบอำนาจทางการปกครองบางอย่าง
ซึ่งพิจารณาเห็นว่าไม่ทำลายความมั่นคงของชาติ และท้องถิ่นควรรับไปดำเนินการ 2)
มอบอำนาจการบริหาร คือ การกระจายอำนาจในทางราชการ
ได้มอบอำนาจการตัดสินใจสั่งการจากส่วนกลางไปสู่ส่วนท้องถิ่น เพื่อให้แต่ละท้องถิ่นมีความรับผิดชอบ
ในการปฏิบัติงาน ขณะที่ โกวิท กระจ่าง (2540) กล่าวถึงการกระจายอำนาจ
การกระจายอำนาจโดยทั่วไป หมายถึง
การถ่ายโยงอำนาจในการวางแผน การตัดสินใจ หรือหน้าที่ในการจัดการ
จากรัฐบาลส่วนกลางไปสู่หน่วยงานย่อยๆ ในท้องถิ่นองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น
หน่วยงาน หรือองค์การระดับรองลงไป หรือองค์การเอกชน และพวงทอง วัฒนาพิมล (2541)
ให้ความหมายว่า การกระจายอำนาจ คือ
การกระจายอำนาจการปกครองและการบริหารจากส่วนกลางไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้มีความเป็นอิสระในการจัดทำบริการสาธารณะบางอย่างตามสมควรและเป็นการให้ประชาชนได้ฝึกการเรียนรู้การมีส่วนร่วมในการปกครองระบอบประชาธิปไตย
ส่วน วรพจน์ วิศรุตพิชญ์ (2537) ได้ให้ความหมายของการกระจายอำนาจไว้
2 รูปแบบ คือ
1) การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น
หรือการกระจายอำนาจตามอาณาเขต คือ การโอนกิจการบริการสาธารณะบางเนื่อง ซึ่งมีผลต่อราษฎรในท้องถิ่นหนึ่ง
โดยเฉพาะจากรัฐหรือองค์การปกครองส่วนกลางไปให้ราษฎรในท้องถิ่นนั้นๆ
ซึ่งมีองค์ประกอบสำคัญ 5 ประการ คือ 1) ความต้องการส่วนรวมของราษฎร 2) กฎหมายจัดตั้งชุมชนในท้องถิ่นต่างๆ มอบให้องค์การที่จัด
ตั้งขึ้นมีฐานะเป็นนิติบุคคล 3) “องค์กร” หรือ “ผู้แทน”
ขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่นใช้สิทธิ และปฏิบัติหน้าที่แทนนิติบุคคล
โดยจะต้องสามารถทำหน้าที่จัดการจัดการได้อย่างเป็นอิสระจากองค์การปกครองส่วนกลาง 4)
บุคลากร หรือเจ้าหน้าที่ต่างๆ ที่ทำหน้าที่ช่วยเหลือ “องค์การ”
หรือองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นที่เป็นนิติบุคคล 5) ต้องอิสระจากการคลัง
คือ
มีแหล่งรายได้และอำนาจจัดสรรรายได้เพื่อใช้จ่ายในการจัดทำกิจการอันอยู่ในขอบเขตแห่งอำนาจหน้าที่ของตนเองได้
และการปกครองส่วนท้องถิ่นจะมีการบริการสาธารณะได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จำเป็นมีขนาดพื้นที่ และจำนวนประชากรที่พอควร
2) การกระจายอำนาจตามบริการ คือ
กิจการบริการสาธารณะที่โอน จากองค์การปกครองส่วนกลางไปให้หน่วยงานต่างๆ
รับผิดชอบจัดทำแยกต่างหากและเป็นอิสระจากองค์การปกครองส่วนกลาง
สมิธ (Smith, 1967 อ้างถึงใน ประทาน
คงฤทธิ์ศึกษากร, 2535) ได้แบ่ง การกระจายอำนาจการปกครอง
ออกเป็น 2 กรณี คือ
1) การแบ่งอำนาจการปกครองที่เรียกว่า
Deconcentration ลักษณะของการแบ่งอำนาจทางการปกครองนี้
มีลักษณะสำคัญ คือ 1) เป็นการบริหารโดยใช้เจ้าหน้าที่ที่ได้รับแต่งตั้งไปจากส่วนกลาง
เช่น ผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นต้น
2) ใช้งบประมาณ ซึ่งส่วนกลางเป็นอนุมัติ 3) เป็นการบริหารภายใต้นโยบายและวัตถุประสงค์ของรัฐบาลกลาง 4) เป็นการบริหารงานโดยเจ้าหน้าที่ที่ได้รับแต่งตั้งไปจากส่วนกลาง
2) ใช้งบประมาณ ซึ่งส่วนกลางเป็นอนุมัติ 3) เป็นการบริหารภายใต้นโยบายและวัตถุประสงค์ของรัฐบาลกลาง 4) เป็นการบริหารงานโดยเจ้าหน้าที่ที่ได้รับแต่งตั้งไปจากส่วนกลาง
2) การมอบอำนาจให้ท้องถิ่นปกครองตนเอง
(Devolution) โดยทฤษฎีอาจมีกรรมวิธีในการกระจายอำนาจได้ 2 กรณี คือ 1) การกระจายอำนาจไปให้หน่วยงานการปกครอง
ตามเขตพื้นที่ (Territory) เช่น
การกระจายอำนาจให้องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล สุขาภิบาล 2) การกระจายอำนาจไปให้หน่วยงานการปกครองทำตามลักษณะเฉพาะ กิจกรรมหรือแต่ละหน้าที่ เช่น การกระจายอำนาจไปให้การประปา การไฟฟ้า การโทรศัพท์ และการเดินรถ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม คำว่า Devolution หรือการมอบอำนาจให้ท้องถิ่นปกครองตนเองนี้ หลักการสำคัญจะต้องเป็นการมอบอำนาจให้ทั้งอำนาจทางการเมืองและอำนาจในการบริหาร ส่วน มีทซ์ และควิททิ (Meatz & Quieti, 1987 อ้างถึงใน สุขสันต์ ชาตะพล, 2550) ได้เสนอว่า สิ่งที่จำเป็นจะต้องจัดให้มีขึ้นก่อนมีการกระจายอำนาจ คือ 1) การผูกพันและอุทิศตนต่อการกระจายอำนาจ 2) ความเป็นอิสระของหน่วยงาน 3) มีการกำหนด ความรับผิดชอบในการวางแผนอย่างชัดเจน 4) มีการสนับสนุนทางการเมืองในระดับท้องถิ่น
การกระจายอำนาจให้องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล สุขาภิบาล 2) การกระจายอำนาจไปให้หน่วยงานการปกครองทำตามลักษณะเฉพาะ กิจกรรมหรือแต่ละหน้าที่ เช่น การกระจายอำนาจไปให้การประปา การไฟฟ้า การโทรศัพท์ และการเดินรถ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม คำว่า Devolution หรือการมอบอำนาจให้ท้องถิ่นปกครองตนเองนี้ หลักการสำคัญจะต้องเป็นการมอบอำนาจให้ทั้งอำนาจทางการเมืองและอำนาจในการบริหาร ส่วน มีทซ์ และควิททิ (Meatz & Quieti, 1987 อ้างถึงใน สุขสันต์ ชาตะพล, 2550) ได้เสนอว่า สิ่งที่จำเป็นจะต้องจัดให้มีขึ้นก่อนมีการกระจายอำนาจ คือ 1) การผูกพันและอุทิศตนต่อการกระจายอำนาจ 2) ความเป็นอิสระของหน่วยงาน 3) มีการกำหนด ความรับผิดชอบในการวางแผนอย่างชัดเจน 4) มีการสนับสนุนทางการเมืองในระดับท้องถิ่น
วัตถุประสงค์ของการกระจายอำนาจมีหลายประการโดย
โรนดิเนลลี, เนลลิส และชีมา (Rondinelli, Nellis & Cheema, 1983 อ้างถึงใน
โกวิท กระจ่าง, 2540) ได้กล่าวว่าการพยายามจะลดภาระงาน
ลดขั้นตอนในการบริหาร จะเป็นการเพิ่มช่องทางในการติดต่อ สื่อสารระหว่างหน่วยงาน
และการหวังว่าจะทำให้งานล่าช้าน้อยลง ก็เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการได้ทันต่อเหตุการณ์และความเร่งด่วนของประชาชนมากยิ่งขึ้น
ขณะเดียวกัน มีทซ์ และควิททิ (Meatz & Quieti, 1978 อ้างถึงใน
สุขสันต์ ชาตะพล, 2550) กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการกระจายอำนาจของประเทศต่างๆ
ไว้หลายประการด้วยกัน คือ เพื่อส่งเสริมความสมดุลในการพัฒนาภูมิภาคต่างๆ ของประเทศ
เพื่อสามารถจัดทำโครงการพัฒนาให้สอดคล้องกับความเป็นจริง
เพื่อให้การประสานงานระหว่างหน่วยงานต่างๆ มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
เพื่อเสริมสร้างความเข็มแข็งให้แก่สถาบันทางการเมืองระดับท้องถิ่น
เพื่อส่งเสริมการระดมทรัพยากรในท้องถิ่นมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการพัฒนาท้องถิ่น
การกระจายอำนาจสามารถแบ่งได้ออกเป็น 4 รูปแบบ
ตามระดับ ของอำนาจ และหน้าที่ และขอบข่ายของหน้าที่ ซึ่ง โรนดิเนลลี (Rondinelli, 1983 อ้างถึงใน
สุขสันต์ ชาตะพล, 2550) ได้อธิบายว่า การแบ่งอำนาจ
ซึ่งหมายถึง การถ่ายโอนบทบาทหน้าที่ของส่วนกลางให้กับส่วนท้องถิ่นตามลำดับขั้นของการบังคับบัญชาจากระดับกระทรวงสู่ส่วนท้องถิ่น
2) การให้อำนาจอิสระ หมายถึง
การถ่ายโอนความรับผิดชอบในหน้าที่ให้กับหน่วยงานในระดับภูมิภาค หรือระดับท้องถิ่น 3)
การมอบอำนาจให้แก่ท้องถิ่นอย่างเต็มที่ ได้แก่ การถ่ายโอนความรับผิดชอบในหน้าที่
หรืออำนาจในการตัดสินใจให้หน่วยงานรัฐบาลในท้องถิ่นภายใต้ขอบข่ายที่กฎหมาย 4)
การให้ภาคเอกชน หรือองค์การเอกชนดำเนินการ คือ การให้ภาคเอกชน
หรือองค์การเอกชนรับผิดชอบกิจกรรมที่รัฐบาลเคยทำให้แก่ภาคเอกชน หรือองค์การเอกชน
หรือองค์กรประชาชนไปดำเนินการ
ขณะที่ สุโท สาระจันทร์ (2542) ได้จำแนกการกระจายอำนาจออกเป็น 2 รูปแบบใหญ่ ดังนี้
1) การเมืองการปกครอง หมายถึง การกระจายอำนาจภายในขอบเขตพื้นที่
โดยการจัดตั้งสถาบัน
องค์การหรือหน่วยงานที่มีอิสระในทางการเมืองการปกครองในระดับหนึ่ง
ซึ่งจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับรูปแบบทางการเมืองการปกครองของประเทศ 2) การกระจายอำนาจทางการบริหาร หมายถึง การมอบอำนาจและการแบ่งอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบจากหน่วยงานราชการในส่วนกลางไปยังหน่วยงานท้องถิ่น ส่วนการกระจายอำนาจให้แก่ท้องถิ่น พวงทอง
วัฒนพิมล (2541) ได้ให้แนวคิดว่ามีลักษณะสำคัญ ดังนี้ 1)
มีการจัดตั้งองค์การขึ้น เป็นนิติบุคคลเพิ่มขึ้นจากส่วนกลาง 2)
มีการเลือกตั้งสภาท้องถิ่น 3) มีอำนาจอิสระในการปกครองตนเอง
4) มีงบประมาณและรายได้เป็นของท้องถิ่น 5) มีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานที่เป็นของท้องถิ่นของตนเอง
ขณะที่ สมเกียรติ
พึงรำพรรณ (2548) ได้กล่าวว่า
การกระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่นถูกคาดหวังว่าเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะทำให้เกิดความเจริญขึ้นในท้องถิ่น
ซึ่ง สมคิด เลิศไพฑูรย์ (2544) ได้กล่าวถึงเรื่องการกระจายอำนาจตามพระราชบัญญัติกำหนดแผน
และขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ไว้ว่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเป็นรัฐธรรมนูญที่มุ่งก่อให้เกิดการปฏิรูปในทุกๆ
ด้าน รวมถึงการปฏิรูปการปกครองส่วนท้องถิ่นของประเทศไทย
รัฐธรรมนูญมีบัญญัติหมวดการปกครองท้องถิ่น ซึ่งสามารถ อธิบายถึงสาเหตุที่บัญญัติ
คือ รัฐธรรมนูญต้องการให้การปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นการปกครองโดยประชาชนในท้องถิ่นอย่างแท้จริง
ต้องการให้มีการปรับปรุงองค์การบริหารงานบุคคลขององค์การบริหารส่วนท้องถิ่น
ต้องการให้ประชาชนมี ส่วนร่วมในการปกครองส่วนท้องถิ่นมากขึ้น
มุ่งเน้นให้องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นมีความเป็นอิสระ
แต่ความอิสระนั้นต้องไม่ขัดแย้งต่อกฎหมายหรือผลประโยชน์ของประเทศ
และเน้นให้องค์การปกครองท้องถิ่นมีอำนาจหน้าที่ และมีรายได้เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน
แผนการกระจายอำนาจให้แก่องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น โดย สมหมาย ลูกอินทร์ (2550) ได้แบ่งออกเป็น 2 แผน
คือ 1) สาระสำคัญของแผนการกระจายอำนาจให้แก่องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น
หรืออาจเรียกว่าแผนใหญ่ มีเนื้อหาสาระที่สำคัญ 2 ประการ ได้แก่
การถ่ายโอนภารกิจหน้าที่ที่รัฐดำเนินการอยู่ในปัจจุบันให้แก่องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น
โดยบางกรณีกฎหมายกำหนดให้มีการถ่ายโอนภายใน 4 ปี บางกรณีกำหนดให้มีการถ่ายโอนภายใน
10 ปี กรณีที่ท้องถิ่นยังไม่พร้อมที่จะรับผิดชอบได้ภายใน 4
ปี และการปรับปรุงสัดส่วนรายได้ขององค์ปกครองส่วนท้องถิ่นต่อรายได้ของรัฐ
2) สาระสำคัญของแผนปฏิบัติการเพื่อกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจ
แผนปฏิบัติการเพื่อกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจหรือที่เรียกว่า แผนเล็ก
นั้นมีเนื้อหาที่สำคัญ 4 ประการ คือ 2.1)
กำหนดรายละเอียดของอำนาจหน้าที่ในการให้บริการสาธารณะที่องค์ประกอบส่วนท้องถิ่นแต่ละรูปแบบจะต้องกระทำโดยในกรณีใดเป็นอำนาจและหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการของรัฐ
หรือระหว่างองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นด้วยกัน
ให้กำหนดแนวทางวิธีปฏิบัติเพื่อประสานการดำเนินการให้เกิดประโยชน์แก่ส่วนรวม
2.2) กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีดำเนินการในการจัดสรรสัดส่วนภาษีและอากรให้เพียงพอแก่การดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ที่กำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น
ทั้งโดยต้องคำนึงถึงภาระหน้าที่ของรัฐในการให้บริการสาธารณะโดยรวมด้วย 2.3)
รายละเอียดเกี่ยวกับการเสนอให้แก้ไข
หรือจัดให้มีกฎหมายที่จำเป็นเพื่อดำเนินการตามแผนการกระจายอำนาจให้แก่องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น
2.4) การจัดระบบบริหารงานบุคคลขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น
โดยกำหนดนโยบายการกระจายบุคคลจากราชการส่วนกลางและราชการส่วนภูมิภาคไปสู่ท้องถิ่น
โดยสร้างระบบถ่ายเทกำลังคนสู่ท้องถิ่นและสร้างระบบความก้าวหน้าสายอาชีพที่เหมาะสม
ทั้งนี้แผนปฏิบัติการดังกล่าวต้องกำหนดรายละเอียด วิธีปฏิบัติ
และกำหนดหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบ รวมทั้งระยะเวลาในการดำเนินการให้ชัดเจนด้วย
ซึ่งท้องถิ่นสามารถแก้ไขปัญหาในท้องถิ่นและพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สมดังเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่ต้องการให้
คนในท้องถิ่นมีสิทธิมีเสียงในการปกครองตนเองอย่างแท้จริง
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกับประเทศไทย ได้มีนักวิชาการและผู้ที่ศึกษาไว้
ดังนี้ โกวิทย์ พวงงาม (2551)
เห็นว่า ความยากจนในประเทศไทยต้องแก้ด้วยแผนของชุมชนเอง
คนในชุมชนต้องเรียนรู้ปัญหาของตนเอง และคิดแก้ด้วยตนเอง
ดังนั้นการแก้ไขปัญหาความยากจนของชุมชนหรือทุกปัญหาในชุมชน ต้องถูกแก้ด้วยฐานของท้องถิ่น
โดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เช่น องค์การบริหารส่วนจังหวัด
หรือองค์การบริหารส่วนตำบล ต้องสร้างกระบวนการให้เกิดการแก้ไขปัญหาความยากจน
การเรียนรู้ มีส่วนร่วม และกระบวนการคิด เพื่อให้ท้องถิ่นร่วมกับชุมชนสร้างแผนพัฒนายุทธศาสตร์
ที่ทำให้ท้องถิ่นเข้มแข็ง ซึ่งทั้งหมดต้องเกิดจากกระบวนการคิดของชุมชน
ดังนั้นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนา
และแก้ปัญหาในชุมชน เพราะเป็นองค์กรที่อยู่ใกล้ชิดกับประชาชนในท้องถิ่นมากสุด
ทำให้สามารถเข้าใจปัญหาท้องถิ่นได้อย่างแท้จริง และดิเรก ปัทมสิริวัฒน์ (2550)
ได้อธิบายว่า องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในประเทศไทย มีอยู่ 2
ระดับ คือ 1) องค์การบริหารส่วนจังหวัด
กับกรุงเทพมหานคร 2) องค์การบริหารส่วนตำบล เทศบาล และเมืองพัทยา ซึ่งองค์กรเหล่านี้
ถือว่าเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของประเทศไทยทั้งสิ้น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะเป็นองค์กรปกครองตนเองมีกฎหมายรับรอง
ทำหน้าที่บริหารจัดการทรัพยากร และให้บริการภายในท้องถิ่น มีอิสระในการทำงาน
แต่ต้องอยู่ใต้กรอบกฎหมาย และนโยบายของชาติ
รายได้และรายจ่ายขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นส่วนหนึ่งของการคลังภาครัฐ
มีระบบการตรวจสอบภายนอก โดยสำนักงานตรวจเงินแห่งชาติ และมีระบบการตรวจสอบภายใน
เพราะรายได้องค์ปกครองส่วนท้องถิ่น มาจากภาษีของประชาชน
และโครงสร้างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของประเทศไทย มีการบริหารภายในประกอบด้วย
ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายปฏิบัติการและพนักงาน ส่วนเหตุผลที่สนับสนุนในการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่น
ดิเรก ปัทมสิริวัฒน์ (2550) ได้อธิบายว่ามี 3 ประการ ได้แก่
การเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานส่งเสริมกระบวนการประชาธิปไตยในระดับรากฐานให้เข้มแข็ง
และส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วม ในการบริหารกิจการบ้านเมืองและการถ่ายโอนภารกิจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นก็เพื่อทำให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จากการกระจายอำนาจให้แก่ท้องถิ่นทำให้เกิดความก้าวหน้าของมาตรการกระจายอำนาจซึ่ง
ดิเรก ปัทมสิริวัฒน์ (2550) แบ่งออกเป็น 6 มิติ ได้แก่ 1) การคลังท้องถิ่น มีการพัฒนาเงินอุดหนุนจากรัฐบาลทำให้ท้องถิ่นมีรายได้เพิ่มขึ้น
2) ความตื่นตัวของประชาชน
และความเข้าใจบทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 3) การผลักดันการถ่ายโอนอำนาจในปัจจุบันมีหน่วยงานที่เป็นเจ้าภาพรับผิดชอบชัดเจน
และยังมีหน่วยงาน หรือสถาบันวิชาการให้ความสนใจโดยเริ่มมีการเรียนการสอนเกี่ยวกับการทำงานของท้องถิ่นมากขึ้น
4) มีการให้รางวัลและแรงจูงใจแก่หน่วยงานท้องถิ่นที่ทำดี 5)
ความตื่นตัวของภาคประชาชนในการทำงานร่วมกับท้องถิ่นและการตรวจสอบ
การทำงานของท้องถิ่นเพื่อให้มีระบบบริหารที่สุจริต 6) การเลือกตั้งผู้นำโดยตรงมีข้อดีที่เป็นการประกาศให้ทราบว่าใครเป็นหัวหน้าทีม
และเป็นการประกาศนโยบายทำงานที่ชัดเจน และความมีเสถียรภาพของฝ่ายบริหารท้องถิ่น
ขณะที่ ดิเรก ปัทมสิริวัฒน์ (2550) ได้แยกสิ่งที่ต้องแก้ไขเกี่ยวกับการปกครองท้องถิ่นไทย
ได้ดังนี้ 1) องค์กรการปกครองส่วนท้องถิ่นยังไม่เข้มแข็งพอมีขนาดเล็กไม่สามารถให้บริการอย่างมีประสิทธิภาพได้
เช่น องค์การบริหารส่วนตำบลบางแห่งมีขนาดเล็ก ประชากร บ้านเรือน
และสถานประกอบการน้อย ซึ่งปัญหานี้แก้โดยการควบรวมทำให้องค์กรใหญ่ขึ้น
แต่อาจไม่เป็นที่ยอมรับทางการเมือง 2) ความไม่พร้อมของหน่วยราชการส่วนกลางในการถ่ายโอนอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
3) อุปสรรคการถ่ายโอนบุคคลให้ท้องถิ่น 4) ปัญหาเกี่ยวกับตัวองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเอง
เพราะองค์การบริหารส่วนตำบลบางที่กลัวการถูกยุบรวมกับองค์การบริหารส่วนตำบลอื่นๆ
และการพึ่งพิงเงินอุดหนุนจากภาครัฐ ทำให้การทำงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นล่าช้า
ทั้งนี้ แนวคิดว่าการกระจายอำนาจ หมายถึง
การที่รัฐบาลในประเทศที่มีระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยได้นำอำนาจไปให้แก่องค์กรต่างๆ
ในท้องถิ่นหรือชุมชน เพื่อประโยชน์ในการบริการสาธารณะให้แก่ประชาชนในท้องถิ่น
หรือชุมชนนั้น ซึ่งองค์กรท้องถิ่นจะมีอำนาจในการบริหารจัดการตนเองได้อย่างเต็มที่
ในการคัดเลือกผู้นำองค์การจะมีการเลือกตั้งจากประชาชนในท้องถิ่น หรือชุมชนโดยตรง
ซึ่งต้องไม่ได้มาจากการแต่งตั้งของรัฐบาลส่วนกลาง
บรรณานุกรม
โกวิท กระจ่าง. (2540). การวางแผน. กรุงเทพฯ:
องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น.
ชำนาญ ยุวบูรณ์. (2503). การรวมและการกระจายอำนาจการปกครองของกฎหมายไทย.
พระนคร:
วิบูลย์กิจ.
วิบูลย์กิจ.
ดิเรก ปัทมสิริวัฒน์. (2550). การคลังท้องถิ่น
รวมบทความวิจัยเพื่อเพิ่มพลังให้ท้องถิ่น. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ:
พี.เอ.ลีฟวิ่ง.
ดำรงศักดิ์ บุญลา. (2540). การกระจายอำนาจการปกครอง. กรุงเทพฯ: เอสพรินท์.
ประทาน คงฤทธิ์ศึกษากร. (2537). การกระจายอำนาจการปกครองสู่ท้องถิ่นในปัจจุบัน.
กรุงเทพฯ:
โอเดียนสโตร์.
โอเดียนสโตร์.
ประยูร กาญจนดุล. (2523). คำบรรยายกฎหมายปกครอง. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
พวงทอง วัฒนพิมล. (2541). การวิเคราะห์ปัญหาและอุปสรรคของการปกครองท้องถิ่นศึกษาเฉพาะกรณีการปกครองและบริหารงานเทศบาลตำบลพระพุทธบาท
อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต
สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง.
วรพจน์ วิศรุตพิชญ์. (2537). หลักการรวมอำนาจ
หลักการแบ่งอำนาจและหลักการกระจายอำนาจ. กรุงเทพฯ:
สำนักพิมพ์แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
สมเกียรติ พึงรำพรรณ. (2548). ทัศนะต่อประสิทธิผลของการบริหารงานเทศบาล
ตำบลอรุณรุ่ง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา.
ภาคนิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาพัฒนาสังคม
สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์.
สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์.
สมคิด เลิศไพฑูรย์. (2543). การปกครองท้องถิ่น
ประเทศฝรั่งเศษ. กรุงเทพฯ: อักษรการพิมพ์.
สมหมาย ลูกอินทร์. (2550). ความคิดเห็นของประชาชนต่อการปฏิบัติงานตามบทบาทหน้าที่ของเทศบาลในการพัฒนาท้องถิ่น
: ศึกษากรณีเทศบาลตำบลคอกช้าง ตำบลแม่หวาด
อำเภอธารโต จังหวัดยะลา.
ภาคนิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาพัฒนาสังคม
สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์.
สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์.
สุโท สาระจันทร์. (2542). ความรู้ความเข้าใจของสมาชิกสภาเทศบาลและเทศมนตรีเกี่ยวกับบทบาทอำนาจหน้าที่และการปกครองท้องถิ่นรูปแบบเทศบาลตำบล
ศึกษาเฉพาะกรณี จังหวัดยโสธร. กรุงเทพฯ:
มหาวิทยาลัยรามคำแหง.
สุขสันต์ ชาตะพล. (2550). การมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาท้องถิ่น:
กรณีศึกษาเทศบาลตำบลสะบ้าย้อย อำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา. ภาคนิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาพัฒนาสังคม
สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์.
เอกดนัย บุญนำ. (2546). มาตรการทางกฎหมายในการมีส่วนร่วมของประชาชน
ในการปกครองท้องถิ่น ศึกษากรณีเทศบาล.
วิทยานิพนธ์นิติศาสตรมหาบัณฑิต
สาขาวิชานิติศาสตร์
มหาวิทยาลัยรามคำแหง.
มหาวิทยาลัยรามคำแหง.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น