ทฤษฎีการแผ่กระจาย (Diffusion Theory)
เรียบเรียงโดย
วชิรวัชร งามละม่อม
Wachirawachr Ngamlamom
แนวความคิดการแผ่กระจายนี้
โฮสท์ บุชเชอร์ (Horst
Buscher) ได้อธิบายไว้โดยกำหนดเป็นข้อสันนิษฐานว่า
กระบวนการเปลี่ยนแปลงจะดำเนินไปได้โดยการถ่ายเทปัจจัยการผลิตที่หายาก เช่น ทุนการริเริ่มเปลี่ยนแปลงทางเทคนิคใหม่ และความรู้ในการทำงาน (Know-How) เป็นต้น
จากประเทศอุตสาหกรรมไปยังประเทศกำลังพัฒนาและความก้าวหน้าที่เกิดขึ้นในภาคทันสมัยจะแผ่กระจายไปทั่วประเทศ
กล่าวคือ มีสินค้าอุปโภคบริโภค เทคนิค และแนวนิยมทางพฤติกรรมและสถาบันอย่างทั่วถึง
โรนัลด์ เอช ชิลโคท (Ronald H. Chilcote) กล่าวว่า
การบรรลุผลสำเร็จของลัทธิทุนนิยมที่เกิดขึ้นโดยทั่วไปนั้น
ถือว่าเป็นผลของทฤษฎีการแผ่กระจายความพัฒนาทั้งสิ้น
แฮรี จี จอห์นสัน (Harry G. Johnson) ได้กล่าวเกี่ยวกับทฤษฎีการแผ่กระจายการพัฒนาไว้ว่า
กระบวนการพัฒนาการอุตสาหกรรมมีลักษณะสำคัญประการแรก คือ
เมื่อมีการอุตสาหกรรมเกิดขึ้น
ณ ประเทศใดหรือพื้นที่แห่งไหนย่อมมีแนวโน้มที่จะทำให้การอุตสาหกรรมมีมากยิ่งขึ้น มีรายได้สูงขึ้น มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน มีการแบ่งงานกันทำ และมีระบบเศรษฐกิจที่แสวงประโยชน์อันนำไปสู่การดึงเงินทุนและแรงงานเข้าไปยังตลาด ทำให้เกิดปัจจัยการผลิตและวงจรความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอันเป็นลักษณะสำคัญของระบบการอุตสาหกรรมและทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันของรายได้ระหว่างพื้นที่ๆ พัฒนาหรือเรียกว่า ศูนย์กลาง (Center) กับพื้นที่ห่างไกลออกไปหรือเรียกว่า พื้นที่ขอบนอก (Periphery) สำคัญกว่าความไม่เท่าเทียมกันดังกล่าว ก็คือ วงจรของความเป็นเหตุเป็นผล (Cumulative Circle of Causation) ที่เสริมสร้างแรงดันทางเศรษฐกิจหลายๆ ประการ และทำให้กระบวนการพัฒนาแผ่กระจายไปสู่พื้นที่ขอบนอก โดยระบบเศรษฐกิจของศูนย์กลางต้องการทรัพยากรธรรมชาติ วัตถุดิบ ทรัพยากรแร่ ทรัพยากรที่หายาก อาหาร และราคาของสิ่งต่างๆ มีแนวโน้มสูงขึ้น จึงต้องแสวงหาของราคาถูกกว่าในพื้นที่ขอบนอก นอกจากนี้ยังมีความต้องการทุนและแรงงานที่มีลักษณะเพื่อจะทำให้พื้นที่ขอบนอกเป็นแหล่งผลิตต่อไป คนที่อยู่ในพื้นที่ขอบนอกจึงคุ้นเคยกับความรู้เฉพาะด้าน การแบ่งงานกันทำ มีรายได้สูงขึ้น มีการสั่งสินค้ามากขึ้น และการมีรายได้สูงขึ้นทำให้สามารถผลิตสินค้าได้และส่งออกขายกับประเทศเพื่อนบ้านซึ่งอยู่ในพื้นที่ขอบนอกด้วยกันและส่งขายให้ประเทศศูนย์กลางด้วย
ณ ประเทศใดหรือพื้นที่แห่งไหนย่อมมีแนวโน้มที่จะทำให้การอุตสาหกรรมมีมากยิ่งขึ้น มีรายได้สูงขึ้น มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน มีการแบ่งงานกันทำ และมีระบบเศรษฐกิจที่แสวงประโยชน์อันนำไปสู่การดึงเงินทุนและแรงงานเข้าไปยังตลาด ทำให้เกิดปัจจัยการผลิตและวงจรความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอันเป็นลักษณะสำคัญของระบบการอุตสาหกรรมและทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันของรายได้ระหว่างพื้นที่ๆ พัฒนาหรือเรียกว่า ศูนย์กลาง (Center) กับพื้นที่ห่างไกลออกไปหรือเรียกว่า พื้นที่ขอบนอก (Periphery) สำคัญกว่าความไม่เท่าเทียมกันดังกล่าว ก็คือ วงจรของความเป็นเหตุเป็นผล (Cumulative Circle of Causation) ที่เสริมสร้างแรงดันทางเศรษฐกิจหลายๆ ประการ และทำให้กระบวนการพัฒนาแผ่กระจายไปสู่พื้นที่ขอบนอก โดยระบบเศรษฐกิจของศูนย์กลางต้องการทรัพยากรธรรมชาติ วัตถุดิบ ทรัพยากรแร่ ทรัพยากรที่หายาก อาหาร และราคาของสิ่งต่างๆ มีแนวโน้มสูงขึ้น จึงต้องแสวงหาของราคาถูกกว่าในพื้นที่ขอบนอก นอกจากนี้ยังมีความต้องการทุนและแรงงานที่มีลักษณะเพื่อจะทำให้พื้นที่ขอบนอกเป็นแหล่งผลิตต่อไป คนที่อยู่ในพื้นที่ขอบนอกจึงคุ้นเคยกับความรู้เฉพาะด้าน การแบ่งงานกันทำ มีรายได้สูงขึ้น มีการสั่งสินค้ามากขึ้น และการมีรายได้สูงขึ้นทำให้สามารถผลิตสินค้าได้และส่งออกขายกับประเทศเพื่อนบ้านซึ่งอยู่ในพื้นที่ขอบนอกด้วยกันและส่งขายให้ประเทศศูนย์กลางด้วย
กลไกอีกอย่างหนึ่งของการแผ่กระจายการพัฒนา
ได้แก่ การเคลื่อนไหวของแรงงานระหว่างประเทศ เมื่อเปรียบเทียบกับทุนและเทคโนโลยี รวมทั้งความก้าวหน้าทางเทคนิคทั่วๆ
ไป เพื่อเพิ่มค่าจ้างแรงงานความก้าวหน้าทางเทคนิคในประเทศศูนย์กลางจะค่อยๆ
เพิ่มค่าจ้างที่นั่นเมื่อเทียบกับประเทศขอบนอกปรากฏการณ์ดังกล่าวจะทำให้มีการผลิตเกิดขึ้นในประเทศขอบนอกโดยใช้ทุนและเทคโนโลยีจากประเทศศูนย์กลางและใช้แรงงานราคาต่ำกว่าในประเทศขอบนอก
การผลิตก็มักจะทำเพื่อขายในประเทศขอบนอกเองซึ่งก่อนหน้านั้นซื้อจากประเทศศูนย์กลาง
และต่อมาถ้าค่าขนส่งไม่แพงเกินไปอาจส่งสินค้านั้นไปขายในประเทศศูนย์กลางด้วยกลไกสำคัญในเรื่องนี้
ก็คือ ค่าจ้างแรงงานและการฝึกอบรมแรงงาน
ส่วนประเทศศูนย์กลางจะมุ่งผลิตสินค้าที่มีขนาดใหญ่
ใช้ความรู้เฉพาะด้านและคนที่มีความรู้สูง
การใช้กลไกทั้งสองประการเพื่อถ่ายทอดกระบวนการพัฒนาให้กับพื้นที่ขอบนอกโดยศูนย์กลางนั้นต้องอาศัยสภาพแวดล้อมในพื้นที่ขอบนอกที่เอื้ออำนวยด้วย
เช่น
1. นโยบายของรัฐบาลจะเป็นตัวสำคัญต่อการแผ่กระจายการพัฒนาดังกล่าว
กลไกประการแรกจะเป็นไปได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับ
2. รายได้จากการส่งออกและอาจล้มเหลว
ถ้ามี
3. ประชากรเพิ่มมากเกินไปจนทำให้รายได้ต่อหัวต่ำมาก
4. ในกรณีของการทำอุตสาหกรรมที่ใช้ทุนและเทคโนโลยี
(Capital Intensive) เช่น การทำเหมืองแร่
การจ้างแรงงานและรายได้ในท้องถิ่นอาจน้อยเกินไปที่จะเป็นตลาดที่พอเพียงสำหรับการพัฒนาต่อไปได้
ยิ่งกว่านั้น
5. องค์การทางสังคมดั้งเดิมอาจเป็นอุปสรรคต่อการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงด้วย
ในทำนองเดียวกัน
กลไกการพัฒนาอุตสาหกรรมประการที่สองนั้น
ถ้าการศึกษาและการฝึกอบรมมุ่งทำให้ปัญญาชนมีลักษณะสอดคล้องกับการดำรงชีวิตแบบดั้งเดิมของพื้นที่ขอบนอกหรือเพื่อตอบสนองอาชีพทางการเมืองและการบริหารเท่านั้น
โดยไม่คำนึงถึงการอุตสาหกรรมแล้ว ปัญหาก็จะมีอยู่เช่นเดียวกัน เพราะลักษณะต่างๆ
ของสังคมแบบดั้งเดิมนั้นมิได้ส่งเสริมความเป็นผู้ประกอบการ อย่างไรก็ตาม จอห์นสัน
กล่าวเชิงสรุปว่า ประเทศด้อยพัฒนาควรเร่งพัฒนาเศรษฐกิจ
โดยมีนโยบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับการกำหนดโครงสร้างทางอุตสาหกรรมให้เหมือนกับประเทศที่พัฒนาแล้ว
และมุ่งไปสู่การเลี้ยงตัวเองได้
รวมทั้งการส่งออกตามความต้องการของประเทศพัฒนาแล้วด้วย
หรือกล่าวโดยสรุปเกี่ยวกับทฤษฎีการแผ่กระจายความเจริญ ก็คือ
กระบวนการถ่ายเทปัจจัยหายากของการผลิต เช่น ทุน เทคนิคใหม่ๆ และความรู้ เป็นต้น
จากประเทศอุตสาหกรรมไปสู่ประเทศกำลังพัฒนา ความเจริญก้าวหน้าที่เกิดขึ้นในพื้นที่ศูนย์กลางจะ
แผ่กระจายไปยังพื้นที่ขอบนอกในเรื่องสินค้า เทคนิค พฤติกรรม และสถาบันต่างๆ
อย่างไรก็ตาม ชิลโคท
ได้จำแนกทฤษฎีการแผ่กระจายไว้ 3 แบบด้วยกัน คือ
1. ทฤษฎีการพัฒนาทางด้านการเมืองแบบประชาธิปไตยที่เกิดขึ้นในประเทศทุนนิยมก้าวหน้าทั้งหลาย
เช่น ทฤษฎีประชาธิปไตยสมัยใหม่ (Modern Democracies) จากผลงานของ
เจมส์ ไบรซ์ (James Bryce) ในปี ค.ศ. 1921 และระบบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่มีรัฐธรรมนูญของ คาร์ล เจ ฟริดริซ (Carl
J. Friedrich) ในปี ค.ศ. 1937
ผลงานดังกล่าวนี้เน้นถึงคุณค่าและการปฏิบัติของระบอบประชาธิปไตยตะวันตก
(โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความชอบธรรมของรัฐธรรมนูญ
การมีส่วนร่วมของประชาชนโดยการเลือกตั้ง มีระบบพรรคการเมือง พลายพรรค
และมีการแข่งขันทางการเมือง)
ต่อมา เซมัว มาร์ติน ลิปเซท (Seymour Martin Lipset) ได้รวบรวมเนื้อหาสาระสำคัญเข้าด้วยกันเมื่อปี
ค.ศ. 1959
เป็นข้อกำหนดของประชาธิปไตยตามแนวทางแห่งความชอบธรรมทางการเมืองและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ
ในปี ค.ศ. 1966 ลูเซียน พาย (Lucian Pye) ได้รวมเอาสาระสำคัญเหล่านี้ไว้ด้วยกันในเรื่องจุดรวมของการเมืองแบบประชาธิปไตย
(Focus on Political Democracy) ภายหลังต่อมา
พัฒนาการทางการเมืองในประเทศตะวันตกได้เพิ่มความสนใจให้กับการแบ่งงานตามความรู้เฉพาะด้าน
ความเสมอภาค และความสามารถของระบบการเมือง ทั้งยังผ่านวิกฤตการณ์ทางเอกลักษณ์
ความชอบธรรม การมีส่วนร่วม การเข้าไปได้อย่างทั่วถึง (Penetration) ของบริการและอำนาจรัฐและการกระจายอำนาจทางการเมือง
2. ทฤษฎีการแผ่กระจายที่เกี่ยวกับลัทธิชาตินิยมซึ่งเป็นแนวความคิดทางยุโรปที่ให้ความสนใจกับสัญลักษณ์ของชาติ
เช่น เพลงชาติ ธงชาติ ความเป็นปึกแผ่นทางสถาบัน อธิปไตยของชาติ ข้อความที่เกี่ยวกับความจงรักภักดีและความรู้สึกร่วมกันของคนในชาติหรือเจตจำนงที่มีอยู่ในสำนึกของคนทั้งชาติ
เป็นต้น ลัทธิชาตินิยมทำให้เกิดพลังทางอุดมการณ์และแรงจูงใจเพื่อการพัฒนา
โดยปกติแล้วลัทธิชาตินิยมจะเน้นไปสู่การพัฒนาตามแนวทางทุนนิยม เช่น
ที่เกิดขึ้นในประเทศฝรั่งเศส เยอรมันนี และอิตาลี ระหว่างเวลาในศตวรรษที่ 19 หรือเมื่อไม่นานมานี้ในประเทศใหม่ๆ ในทวีปอาฟริกา เอเชีย และลาตินอเมริกา
3. ทฤษฎีการแผ่กระจายอีกแบหนึ่งมีลักษณะเป็นเส้นตรงไปสู่สภาวะทันสมัย
โดยมีความเชื่อว่าประเทศในโลกด้านตะวันตกจะแผ่กระจายค่านิยม เงินลงทุน
และเทคโนโลยีไปสู่ประเทศพัฒนาน้อยทั้งหลายให้มีอารยธรรมมากขึ้นตามแนวทางประเทศพัฒนาแล้วทางตะวันตก
การพัฒนาตามแนวทางนี้มีกระบวนการขั้นตอนซึงกำหนดไว้ดังต่อไปนี้
การพัฒนาทางเศรษฐกิจของ วอลท์
ดับเบิลยู โรสโตว์ (Walt
W. Rostow) ซึ่งถือว่ากระบวนการพัฒนามีขั้นตอนต่อเนื่องไปสู่ความสำเร็จและเป็นแบบแผนทางอุดมคติ
ซึ่งเป็นแนวความคิดที่มีอิทธิพลพอสมควรในช่วง 1960
โดยมีขั้นตอนดังนี้
3.1 สังคมโบราณ (Traditional
Society) เป็นสังคมที่มีโครงสร้างที่เป็นปัญหาต่อการพัฒนาอย่างมากและอาจกล่าวได้ว่าเป็นสังคมที่ไม่เปลี่ยนแปลง
ไม่มีการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยใหม่ มีการผลิตที่จำกัดมาก
ทรัพยากรที่ใช้เพื่อการเกษตรมีอัตราส่วนสูงมาก ในโครงสร้างทางสังคม มีการใช้อำนาจตามระดับของการบังคับบัญชาการเปลี่ยนแปลงฐานะของคนในสังคมโดยอาศัยคุณวุฒิและความสามารถแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
ครอบครัวและเชื้อสายต้นตระกูลของคนมีบทบาทสำคัญมาก และมีการถ่ายทอดความเชื่อถือต่างๆ
สืบกันไปชั่วลูกชั่วหลาน สังคมแบบนี้จึงมีลักษณะเป็นสังคมเกษตรดั้งเดิมและยึดมั่นอยู่กับค่านิยมและความเชื่อเก่าๆ
ที่ถ่ายทอดกันมาเป็นเวลายาวนาน
3.2 สมัยหลังสังคมโบราณ
(Post-Traditional Society) หรือขั้นเตรียมพร้อมที่จะออกเดินทาง
(Pre-Conditions for Take-Off) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า
สังคมกำลังเปลี่ยนแปลง (Transitional Society) ก็ได้เพราะเป็นช่วงของสังคมโบราณเปลี่ยนแปลงเพื่อแสวงประโยชน์จากความเจริญทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่
เป็นระยะของการเตรียมตัวของสังคมในด้านต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลง
ถ้าสังคมใดมีลักษณะโบราณมากและมีความมั่นคงเช่นประเทศส่วนใหญ่ในยุโรปและประเทศเกือบทั้งหมดในทวีปเอเชีย
อาฟริกา และตะวันออกกลาง
เมื่อมีความจำเป็นจะต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงทั้งโครงสร้างของสังคม ระบบการเมือง
และเทคนิคการผลิต ย่อมจะเปลี่ยนแปลงได้ยากและต้องใช้เวลาอันยาวนานไม่เหมือนกัน บางประเทศที่มีลักษณะอันเปลี่ยนแปลงได้ง่าย เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย
นิวซีแลนด์ และประเทศอื่นๆ บางประเทศ
เพราะไม่สู้จะมีสิ่งที่ถ่ายทอดกันมาตั้งแต่ดั้งเดิมมากนัก
ประกอบกับมีทรัพยากรและลักษณะบางประการที่ส่งเสริมการเปลี่ยนแปลง
จึงสามารถเตรียมตัวนำสังคมเปลี่ยนเข้าไปสู่ขั้นที่สามได้โดยใช้เวลาไม่ยาวนานนัก
ลักษณะของการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในขั้นของการเตรียมตัวเพื่อออกเดินทางของการพัฒนาได้แก่การเปลี่ยนจากสังคมโบราณที่มีลักษณะเป็นสังคมเกษตรกรรม
ประชาชนส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 75 เป็นเกษตรกรเข้าไปสู่การเป็นสังคมอุตสาหกรรม มีการคมนาคมและการสื่อสารที่เจริญก้าวหน้าขึ้น
มีการค้าขายสินค้าและจัดบริการต่างๆ การจัดการทางด้านการเมืองการปกครอง
การเศรษฐกิจ และสังคม ไม่ควรจำกัดขอบเขตอยู่ในอาณาเขตแคบๆ
เฉพาะท้องถิ่นหรือภูมิภาคหนึ่งๆ เท่านั้น
แต่ควรจะมองให้กว้างไกลขึ้นไปถึงระดับชาติและระหว่างประเทศ
ทัศนคติของการมีลูกควรเปลี่ยนไปในทางที่ทำให้อัตราการเกิดของประชากรลดลง
ประชากรจะได้ไม่มากเกินไป ซึ่งถือว่าเป็นปัญหาของความเจริญก้าวหน้า
เจ้าของที่ดินรายใหญ่เป็นกลุ่มชนที่มีรายได้เหลือใช้
ควรจะหาทางนำเงินส่วนนี้มาช่วยประเทศในการสร้างถนน โรงเรียน และสวัสดิการต่างๆ
แทนที่จะปล่อยให้แต่ละคนมีเงินเหลือและใช้จ่ายตามความพอใจ เช่น ทัศนาจรต่างประเทศ
สร้างโบสถ์ สร้างวัด สร้างบ้านพักตากอากาศชายทะเล และซื้อเครื่องประดับส่วนตัว
เป็นต้น
ความรู้สึกที่ว่าค่าของคนและฐานะของคนอยู่ที่การเกิดหรือตระกูลที่ให้กำเนิดเปลี่ยนไปเป็นการให้ความสำคัญกับคุณวุฒิ
ความรู้ ความสามารถ หรือความรู้ความชำนาญในการทำงานเฉพาะด้าน และที่สำคัญที่สุด
ก็คือ
ความเชื่อที่ว่าสิ่งแวดล้อมทางกายภาพของมนุษย์เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาโดยธรรมชาติและโดยพระผู้เป็นเจ้า ควรจะเปลี่ยนไปสู่ความมีเหตุมีผล เพื่อให้คนมีความคิด
มีเหตุผลและสามารถทำการผลิตได้มากขึ้น และก่อให้เกิดความเจริญก้าวหน้า
3.3 ขั้นที่สามของการพัฒนาคือการออกเดินทาง
(Take-Off) เป็นช่วงของการเอาชนะการต่อต้านขัดขวางและอุปสรรคต่างๆ
ของสังคมโบราณได้แล้ว เพราะสิ่งเหล่านี้ เป็นปัญหาของความเจริญเติบโต ในขณะเดียวกัน พลังต่างๆ ที่ทำให้เกิดความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ
ได้แผ่ขยายไปอย่างทั่วถึงในสังคมและสามารถทำให้มีความเจริญเติบโตได้อย่างปกติต่อไป
ในช่วงของขั้นการออกเดินทางนี้ อัตราการลงทุนและการออมทรัพย์อาจเพิ่มขึ้นจากร้อยละ
5-10 ของรายได้แห่งชาติหรือมากกว่าก็ได้
มีการลงทุนทางอุตสาหกรรมใหม่ๆ แผ่ขยายอย่างรวดเร็ว
ผลประโยชน์ที่ได้จากการผลิตส่วนใหญ่จะนำมาใช้ในการขยายการลงทุนต่อไปอีก
การอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่เพิ่มขึ้นนี้จะช่วยให้คนมีงานทำ ในขณะเดียวกันจะมีความต้องการบริการต่างๆ
ที่จำเป็นเพื่อสนับสนุนการอุตสาหกรรมเหล่านี้ อันส่งผลทำให้คนมีรายได้สูงขึ้น มีผู้ประกอบการเพิ่มมากขึ้น
มีผู้ลงทุนในภาคเอกชนมีการปรับปรุงวิธีการผลิตให้ทันสมัย
และมีการใช้ทรัพยากรให้เป็นประโยชน์ได้มากขึ้น
3.4 ขั้นขับเคลื่อนไปสู่ความโตเต็มที่
(Drive to Maturity) เมื่อผ่านขั้นออกเดินทางมาแล้วประมาณ 40 ปี จะเป็นช่วงของความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
มีการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างกว้างขวาง มีการใช้ทุนประมาณร้อยละ 10-20 ของรายได้ประชาชาติเพื่อการลงทุน ที่สำคัญคือ
สามารถทำให้ผลผลิตเพิ่มสูงกว่าอัตราการเพิ่มของประชากรอย่างมาก มีการเร่งการลงทุนทางอุตสาหกรรมใหม่ๆ
ให้รวดเร็วขึ้น มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเทคนิคการผลิตให้ก้าวหน้า
มีความสามารถแข่งขันทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศได้
สามารถผลิตสินค้าที่เคยสั่งซื้อจากต่างประเทศมาก่อนได้เองภายในประเทศและมีสินค้าส่งออกใหม่ๆ
ให้สอดคล้องกัน การปรับปรุงค่านิยมหรือสถาบันต่างๆ
ที่มีอยู่เดิมให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ให้มีลักษณะที่สนับสนุนส่งเสริมความเจริญเติบโตหรืออย่างน้อยก็ไม่ให้เป็นปัญหาและอุปสรรคต่อความเจริญดังกล่าว
กระบวนการทางอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีอาจมีความสลับซับซ้อนยิ่งขึ้น
โดยเปลี่ยนจากสมัยของการอุตสาหกรรมถ่านหิน เหล็ก และอุตสาหกรรมหนักทางด้านรถไฟ
ไปสู่สมัยของเครื่องยนต์ เครื่องจักรกล เครื่องเคมี และเครื่องไฟฟ้า
เหมือนอย่างประเทศอังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมันนีเมื่อปลายศตวรรษที่ 19
3.5 ขั้นของการบริโภคขนาดใหญ่
(The Age of High Mass-Consumption) ในขั้นนี้ ได้มีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจสำคัญๆ
ที่ทำให้เกิดความเจริญเติบโตเข้าไปสู่การผลิตสินค้าเพื่อการบริโภคและการบริการต่างๆ
เช่น มีการเปลี่ยนแปลงจากอุปทานหรือการผลิตไปสู่อุปสงค์หรือความต้องการ
และจากปัญหาของการผลิตไปสู่ปัญหาของการบริโภคและสวัสดิการว่าทำอย่างไรจึงจะทำให้มีอาหารและบริการที่อำนวยความสะดวกสบายและความพอใจให้กับประชาชนได้
เพื่อให้ประชาชนได้รับความสุขโดยทั่วกัน ในขณะเดียวกัน ก็คงยังมีความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
มีการเพิ่มผลผลิตทางอุตสาหกรรมอยู่ต่อไป
พร้อมกับการสร้างความมั่นคงของอิทธิพลออกไปนอกอาณาเขต
มีการใช้ทรัพยากรไปในทางทหารและนโยบายต่างประเทศมากขึ้น
อันเป็นการสร้างชื่อเสียงของประเทศให้เป็นที่เชื่อถือ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น