ทฤษฎีการพัฒนาการเมือง
เรียบเรียงโดย
วชิรวัชร
งามละม่อม
Wachirawachr
Ngamlamom
แนวความคิดทางการเมืองที่ใช้อ้างกันมากเพื่อการวิเคราะห์ปรากฏการณ์ทางการเมืองในประเทศด้อยพัฒนา
คือ แนวความคิดเรื่องการพัฒนาการเมือง (Political Development) หรือนักวิชาการบางท่านก็ใช้คำว่า
การทำให้ทันสมัยทางการเมือง (Political Modernization) บางท่านก็ใช้ปนเปกันทั้งสองคำ
มูลเหตุสำคัญที่ได้มีการใช้ศัพท์ดังกล่าววิเคราะห์และอธิบายปรากฏการณ์ทางการเมืองนั้น
ก็เนื่องจากว่าหลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศต่างๆ
ซึ่งเคยเป็นประเทศในอาณานิคมของมหาอำนาจตะวันตกได้รับเอกราช
ประเทศเกิดใหม่เหล่านี้ก็ประสบปัญหาทางการเมืองต่างๆ มากมาย
เกิดจากการรบราฆ่าฟันเพื่อแย่งอำนาจกันระหว่างเผ่าพันธุ์หรือกลุ่มการเมืองต่างๆ
การล้มลุกคลุกคลานของระบบรัฐสภาในระบบประชาธิปไตย
พร้อมกับการเข้ายึดอำนาจของทหารในรูปของการปฏิวัติรัฐประหาร ปรากฏการณ์ทางการเมืองดังกล่าวนั้น
ย่อมมีการวิเคราะห์หาสาเหตุและนักวิชาการแขนงต่างๆ
ก็ใช้วิชาที่ตนถนัดเป็นตัวแปรสำคัญในการเสาะหาสาเหตุ
นักเศรษฐศาสตร์ก็มองการไร้เสถียรภาพต่างๆ
ในประเทศเหล่านี้ด้วยการเน้นที่ตัวแปรทางเศรษฐกิจว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกิดจากการด้อยพัฒนาทางเศรษฐกิจ
ปัญหาความยากจนและการขาดเทคโนโลยีในการผลิต ทำให้สังคมประสบปัญหาต่างๆ
ยากที่จะเกิดเสถียรภาพทางการเมืองขึ้นได้
ความเชื่อดังกล่าวนี้ยังครอบคลุมไปถึงสาเหตุของสงครามโลกครั้งที่สองด้วยว่าเกิดจากปัญหาหลัก
คือ ปัญหาเศรษฐกิจ
นักการศึกษาก็มองดูการล้มเหลวของการปกครองแบบประชาธิปไตยว่า
มีสาเหตุมาจากการขาดการศึกษา ความโง่เขลาเบาปัญญาของประชากร
และการขาดความรู้เรื่องการเมืองและสังคมซึ่งทำให้ไม่สามารถจรรโลงระบบการเมืองการปกครองแบบอารยะได้
นักสังคมวิทยาก็มองปัญหาดังกล่าวด้วยแว่นสีของตนว่า เกิดจากโครงสร้างทางสังคม
ช่องว่างระหว่างความรวยความจน โครงสร้างอำนาจอันสืบเนื่องมาจากจารีตประเพณี
ค่านิยมแบบถืออำนาจและบุคลิกภาพแบบเผด็จการ ฯลฯ
นักรัฐศาสตร์นั้น
ถ้าจะมองดูสภาพดังกล่าวมาว่า มีสาเหตุมาจากรัฐธรรมนูญก็พูดไม่สะดวกใจ
เพราะหลายประเทศที่ประสบปัญหาการไร้เสถียรภาพทางการเมือง
มีรัฐธรรมนูญที่ถูกต้องรัดกุมทุกประการมีการสร้างสถาบันทางนิติบัญญัติ บริหาร
ตุลาการ การใช้หลักการถ่วงดุลอำนาจ การตรวจสอบซึ่งกันและกันของสถาบันต่างๆ
แต่ระบบประชาธิปไตยก็ไม่สามารถดำรงอยู่ได้ ผลสุดท้ายก็พยายามมองดูว่าปรากฏการณ์ความล้มเหลวของการสร้างระบบการเมืองแบบประชาธิปไตยในประเทศด้อยพัฒนาเกิดจากการขาดการพัฒนาการเมือง
ซึ่งเข้าใจว่าศัพท์คำว่า การพัฒนาการเมืองนี้คงเลียนแบบมาจากการพัฒนาเศรษฐกิจ
แต่การใช้ศัพท์ดังกล่าวก็ตามมาด้วยคำถามว่า การพัฒนาการเมืองคืออะไร
ซึ่งนักรัฐศาสตร์ในแขนงพฤติกรรมศาสตร์ต่างก็ตอบไปตามความถนัด
ความเชื่อและความเข้าใจของตน บางคนก็พยายามแยกระหว่างคำว่า
การพัฒนาการเมืองและการทำให้ทันสมัยทางการเมือง
จนเกิดคำจำกัดความในแนวความคิดดังกล่าวมากมาย ซึ่งจะกล่าวต่อไป
นักวิชาการทางรัฐศาสตร์ได้เริ่มพูดถึงการพัฒนาการเมืองหรือทฤษฎีพัฒนาการเมือง
ตั้งแต่ต้นปี ค.ศ. 1960
โดยมุ่งเน้นไปที่การวิเคราะห์การเมืองของประเทศด้อยพัฒนาหรือกำลังพัฒนาซึ่งส่วนใหญ่เคยเป็นเมืองขึ้นของมหาอำนาจตะวันตก
และเพิ่งจะได้รับเอกราชหลังสงครามโลกครั้งที่สอง หนังสือที่เกี่ยวกับการเมืองในประเทศเหล่านี้
ซึ่งปัจจุบันเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นประเทศในโลกที่สาม คือ The Politics of
the Developing Areas โดยมี Gabriel A. Almond และ James S. Coleman เป็นบรรณาธิการหนังสือเล่มนี้เริ่มต้นด้วยทฤษฎีหยิบยืมมาจากสำนักโครงสร้างและหน้าที่
(Structural functional Approach) ของมนุษยวิทยา จากนั้นก็มีตัวอย่างการเมืองของภาคต่างๆ
ในโลก เช่น เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เอเซียใต้ ลาตินอเมริกัน ฯลฯ
โดยใช้กรอบวิเคราะห์ (Analytical Frame Work) อันเดียวกัน
เจตนาก็เพื่อจะเปรียบเทียบโดยใช้กรอบวิเคราะห์หรือกรอบทฤษฎีเดียวกัน
ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการติดกับรูปแบบ เช่น ประชาธิปไตย สังคมนิยม ฯลฯ
อย่างไรก็ดี หนังสือเล่มนี้ก็ไม่ได้เสนอทฤษฎีการพัฒนาการเมือง
เพียงแต่พยายามวิเคราะห์ศึกษาการเมืองในประเทศกำลังพัฒนาโดยเลี่ยงการใช้รูปแบบการเมืองในลักษณะที่เป็นประชาธิปไตยหรือไม่เป็นประชาธิปไตย
ซึ่งเป็นแนวการศึกษาที่นิยมทำกัน โดยใช้หลักประเทศประชาธิปไตยตะวันตก
เป็นหลักในการเปรียบเทียบ
แนวความคิดต่างๆ
เกี่ยวกับการพัฒนาการเมืองซึ่งมีอยู่ 10 แนวความคิด โดยการสังเคราะห์พหุภาพแห่งการพัฒนามีดังนี้คือ
1. การพัฒนาการเมือง
คือ รากฐานของการพัฒนาเศรษฐกิจ (Political Development as the Political Prerequisite
of Economic Development) เมื่อมีการสนใจเกี่ยวกับปัญหาความเจริญทางเศรษฐกิจและมีความจำเป็นที่จะแปรรูปของเศรษฐกิจที่หยุดนิ่ง
เพื่อเป็นเศรษฐกิจที่เจริญได้ในระดับสม่ำเสมอ นักเศรษฐศาสตร์ก็กล่าวโดยพลันว่าสภาพทางการเมืองและสังคมจะมีบทบาทอย่างแน่วแน่ในการขัดขวางหรือเอื้ออำนวยต่อการเพิ่มขึ้นในรายได้เฉลี่ยต่อหัว
และดังนั้นจึงเป็นการเหมาะสมที่จะคิดว่า
การพัฒนาการเมืองคือสภาพของระบบการเมืองซึ่งจะเอื้ออำนวยต่อความเจริญทางเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ดี เมื่อมาใช้ในการวิจัย
คำจำกัดความการพัฒนาการเมืองดังกล่าวมีลักษณะในทางลบ
เพราะว่าเป็นการง่ายกว่าที่จะพูดอย่างชัดแจ้งว่า
ระบบการเมืองได้ขัดขวางความเจริญทางเศรษฐกิจอย่างไรบ้าง แต่เป็นการยากที่จะพูดว่า
ระบบการเมืองได้ช่วยให้เกิดความเจริญทางเศรษฐกิจอย่างไร เพราะตามประวัติศาสตร์นั้น
ความเจริญทางเศรษฐกิจได้เกิดขึ้นในระบบการเมืองหลายระบบและด้วยนโยบายที่ต่างกัน
อันนี้นำไปสู่การคัดค้านต่อคำจำกัดความพัฒนาการเมืองดังกล่าว เนื่องจากว่า
คำจำกัดความนั้นไม่ได้มีทฤษฎีร่วมกันเพราะในบางกรณีจะมีความหมายเพียงว่า
รัฐบาลได้ปฏิบัติตามนโยบายเศรษฐกิจที่ถูกต้องหรือไม่เท่านั้น
ส่วนในสถานการณ์อื่นนั้นอาจจะเกี่ยวพันถึงการพิจารณาองค์การขั้นมูลฐานของรัฐและการปฏิบัติของสังคมทั้งมวล
ดังนั้นปัญหาเรื่องการพัฒนาการเมืองจึงแตกต่างกันตามความแตกต่างกันทางปัญหาเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ
ความลำบากขั้นพื้นฐานอีกประการหนึ่งของคำจำกัดความพัฒนาการเมืองที่กล่าวมาเบื้องต้นจะปรากฏภาพชัดยิ่งขึ้น
จากข้อเท็จจริงที่ว่า
ความหวังของการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วในประเทศด้อยพัฒนามีลักษณะมืดมัว
และในหลายประเทศความเจริญทางเศรษฐกิจ (โดยไม่จำต้องพูดถึงการพัฒนาอุตสาหกรรม)
ไม่มีทีท่าว่าจะเกิดขึ้นในชั่วอายุของเรา
ถึงแม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมายในทางการเมืองถึงขนาดที่เรียกว่า
อาจจะควรถือว่ามีการพัฒนาการเมืองในสังคมเหล่านั้นตามคำจำกัดความอื่นๆ
ประการสุดท้าย ยังมีการคัดค้านต่อไปว่า
ในประเทศด้อยพัฒนาทั้งหลายประชาชนมีความกังวลมากไปกว่าเพียงความก้าวหน้าทางวัตถุเท่านั้น กล่าวคือ ประเทศเหล่านี้คำนึงถึงการพัฒนาการเมืองโดยอาจจะไม่คำนึงผลการพัฒนาทางเศรษฐกิจ เพราะฉะนั้น ความพยายามเชื่อมโยงการพัฒนาการเมืองกับเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจอย่างเดียวจะเป็นการมองข้ามสิ่งสำคัญอย่างอื่นในประเทศด้อยพัฒนาเหล่านี้
ในประเทศด้อยพัฒนาทั้งหลายประชาชนมีความกังวลมากไปกว่าเพียงความก้าวหน้าทางวัตถุเท่านั้น กล่าวคือ ประเทศเหล่านี้คำนึงถึงการพัฒนาการเมืองโดยอาจจะไม่คำนึงผลการพัฒนาทางเศรษฐกิจ เพราะฉะนั้น ความพยายามเชื่อมโยงการพัฒนาการเมืองกับเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจอย่างเดียวจะเป็นการมองข้ามสิ่งสำคัญอย่างอื่นในประเทศด้อยพัฒนาเหล่านี้
2. การพัฒนาการเมือง
คือ การเมืองในสังคมอุตสาหกรรม (Political Development as the Politics
Typical of Industrial Societies) คำจำกัดความอันที่สองของการพัฒนาการเมือง
ซึ่งมีความผูกพันอย่างแน่นแฟ้นทางเศรษฐกิจเป็นความเห็นที่มีลักษณะเป็นนามธรรมของการเมืองในสังคมที่มีความเจริญอย่างมากในทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม
ข้อสันนิษฐานก็ถือว่า
ชีวิตในสังคมอุตสาหกรรมนั้นจะนำไปสู่ชีวิตทางการเมืองแบบหนึ่งตามความหมายนี้
สังคมอุตสาหกรรมไม่ว่าจะเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ก็ตาม มีมาตรฐานพฤติกรรมทางการเมืองและการปฏิบัติซึ่งเป็นลักษณะของการพัฒนาการเมืองและเป็นจุดมุ่งหมายบั้นปลายของการพัฒนาไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด
ดังนั้น
คุณสมบัติเฉพาะของการพัฒนาการเมืองกลายเป็นรูปแบบซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นพฤติกรรมของรัฐบาลที่
“มีเหตุผลและรับผิดชอบ” กล่าวคือ
มีการหลีกเลี่ยงการกระทำที่ไร้ความคิดซึ่งคุกคามต่อผลประโยชน์ของกลุ่มบุคคลที่สำคัญในสังคม
มีข้อจำกัดต่ออธิปไตยทางการเมือง
การเทิดทูนคุณค่าของแบบแผนทางการปกครองอย่างมีระเบียบ
การยอมรับว่าการเมืองเป็นวิธีการแก้ปัญหาเท่านั้น
และไม่ใช่จุดบั้นปลายในตัวของมันเอง การย้ำของโครงการสวัสดิการและประการสุดท้าย
คือ การยอมรับการมีส่วนร่วมในทางการเมืองรูปใดรูปหนึ่ง
3. การพัฒนาการเมือง
คือ ความจำเริญทางการเมือง (Political Development as Political
Modernization) ความคิดที่ว่า การพัฒนาการเมืองเป็นลักษณะการเมือง
ในอุดมคติในแบบสังคมอุตสาหกรรมมีความหมายเดียวกับความจำเริญทางการเมืองที่มีประเทศอุตสาหกรรมเป็นแบบอย่างของชีวิตทางเศรษฐกิจและสังคม
และคนจำนวนมากคาดหวังว่า ในขอบข่ายชีวิตทางการเมืองก็มีลักษณะเดียวกัน
อย่างไรก็ดีการยอมรับความคิดอันนี้โดยง่ายย่อมจะทำให้เกิดความไม่พอใจกับผู้เชื่อถือในความเท่าเทียมกันของวัฒนธรรม
และคำถามสำคัญก็คือการที่ถือว่าการปฏิบัติของสังคมอุตสาหกรรมหรือสังคมตะวันตกเป็นมาตรฐานสากลสำหรับการเมืองทุกระบบนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่
ถึงแม้ว่าจะยอมรับว่า การคัดค้านนี้เป็นสิ่งที่น่ารับฟัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
เมื่อคำนึงถึงข้อเท็จจริงที่ว่า ความเชื่อดังกล่าวนั้นเป็นแฟชั่นประจำสมัย
อย่างไรก็ตามความจริงที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์โลก คือ ประเพณีและปทัสถานทางสังคม
ซึ่งแผ่กระจายไปทั่วโลกและซึ่งคนทั่วๆ ไป รู้สึกว่า
ควรที่สังคมที่มีความเคารพตัวเองจะรับประเพณีและปทัสถานนี้มาตรฐานดังกล่าวนี้เกิดขึ้นในสังคมอุตสาหกรรมและเกิดจากความเจริญทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
และในปัจจุบันมาตรฐานเหล่านี้ได้คงอยู่ตัวแล้ว ตัวอย่างเช่น
การมีส่วนร่วมในทางการเมืองเป็นภาพสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นจริง
ในทางสังคมวิทยาและชีวิตในสังคมอุตสาหกรรม
แต่ขณะเดียวกันก็ถูกถือว่าเป็นสิทธิอันเด็ดขาด ในความเห็นของโลกปัจจุบันนอกจากนี้หลักการอื่นๆ
เช่น การเรียกร้องให้มีกฎหมายที่ใช้เป็นหลักสากล
การเคารพในความสามารถยิ่งกว่าชาติกำเนิด
และความคิดทั่วไปเกี่ยวกับความยุติธรรมและสิทธิของประชาชนดูเหมือนว่าจะกลายเป็นสิ่งซึ่งไม่ขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมใดๆ
และกลายเป็นมาตรฐานสากลของชีวิตการเมืองยุคใหม่ คำถามที่เกิดขึ้นทันทีก็คือ
อะไรคือรูปแบบ และอะไรคือเนื้อหาของคำจำกัดความการพัฒนาการเมือง
การทดสอบการพัฒนาอยู่ที่ประเทศสามารถจะมีสิ่งซึ่งถือว่าเป็นโครงสร้างของวัฒนธรรมแบบใหม่
เช่น พรรคการเมือง การปกครองและสภานิติบัญญัติที่มีเหตุผลและเพื่อประชาชน
เช่นนั้นหรือ ถ้าเป็นเช่นนั้น
ความรู้สึกเหนือกว่าในเชื้อชาติก็จะเป็นสิ่งซึ่งตรงประเด็นในเรื่องนี้
เพราะว่าสถาบันเหล่านี้มีลักษณะเป็นสถาบันของประเทศตะวันตก ถ้าในทางตรงกันข้าม
ความสำคัญอยู่ที่การกระทำหน้าที่อันสำคัญของระบบการเมือง ก็จะเกิดอีกอันหนึ่งเพราะระบบการเมืองต่างๆ
นั้นในทางประวัติศาสตร์ได้กระทำหน้าที่อันสำคัญที่คล้ายคลึงกับสถาบันใหม่หรือสถาบันตะวันตก
(ซึ่งจะเป็นรูปใดก็ตาม) ดังนั้น อะไรจะเป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า อันไหนพัฒนากว่า
ปัญหาที่เห็นได้ชัดคือการพัฒนาการเมือง เมื่อให้คำจำกัดความว่า คือ การจำเริญทางการเมืองนั้นจะเกิดปัญหาเรื่องการแยกแยะว่าอะไรเป็นของตะวันตกและอะไรเป็นของสมัยใหม่
ถ้าจะพยายามหาความแตกต่างดังกล่าวก็คงต้องใช้ข้อพิจารณาอื่นๆ มาประกอบ
4. การพัฒนาการเมือง
คือ ระบบการเกิดรัฐชาติ (Political Development as the Operation of a
Nation – State) ความคิดอันนี้เกิดจากความเห็นที่ว่า
การพัฒนาการเมืองนั้นเกิดจากการจัดตั้งของชีวิตทางการเมืองและการปฏิบัติหน้าที่ทางการเมืองที่คล้องจองกับมาตรฐานของรัฐบาลในยุคใหม่
ในความเห็นนี้มีข้อสันนิษฐานว่า
จากประวัติศาสตร์มีระบบการเมืองหลายระบบและทุกสั่งคมมีระบบการเมืองของตน แต่เมื่อเกิดรัฐชาติยุคใหม่ คุณลักษณะบางประการทางการเมืองของระบบรัฐชาติก็ตามมา
ดังนั้น สังคมใดที่ต้องการเป็นรัฐยุคใหม่
สถาบันทางการเมืองของสังคมนั้นจะต้องปรับตัวเข้ากับคุณลักษณะเหล่านี้ การเมืองของจักรวรรดิของสังคมชนเผ่าและเชื้อชาติหรือของอาณานิคมจะต้องสลายตัวไปเพื่อกลายเป็นระบบการเมืองในรัฐชาติ
ซึ่งจะดำเนินไปอย่างสัมฤทธิ์ผลร่วมกับรัฐชาติอื่นๆ
การพัฒนาการเมืองจึงกลายเป็นวิถีทางซึ่งสังคมที่เป็นรัฐชาติในรูปแบบและโดยความเอื้อเฟื้อของนานาชาติ
ได้กลายเป็นรัฐชาติที่แท้จริง กล่าวเฉพาะเจาะจงลงไปคือความสามารถที่จะดำรงไว้ซึ่งความสงบเรียบร้อยของสังคมในระดับหนึ่ง
ความสามารถที่จะใช้ทรัพยากรเพื่อประโยชน์ส่วนรวม
และความสามารถที่จะปฏิบัติตามข้อผูกพันระหว่างประเทศ ดังนั้น
การทดสอบการพัฒนาการเมืองก็กลายเป็น 1) การสร้างสถาบันทางสังคมซึ่งเป็นโครงสร้างที่จำเป็นของรัฐชาติ
2) การแสดงออกที่อยู่ในขอบข่ายของชีวิตของการเมือง ในรูปแบบชาตินิยม
กล่าวคือ การพัฒนาการเมือง คือ การเมืองชองชาตินิยมในขอบข่ายของสถาบันแห่งรัฐ
มีข้อสำคัญที่จะต้องเน้นว่า จากความคิดดังกล่าว
ความรู้สึกชาตินิยมเป็นเงื่อนไขที่เพียงพอต่อการพัฒนาการเมือง การพัฒนานั้นคลุมไปถึงการถึงความรู้สึกเรื่องชาตินิยมซึ่งกระจัดกระจายไปสู่สปีริตความเป็นประชากรของชาติ
และสำคัญเท่าๆ กัน คือ
การสร้างสถาบันแห่งรัฐที่สามารถจะแปรรูปความรู้สึกชาตินิยมและความรู้สึกเรื่องการเป็นประชาชนนอกเป็นรูปนโยบายและโครงการ
กล่าวโดยย่อ การพัฒนาการเมืองคือการสร้างชาติ
5. การพัฒนาการเมือง
คือ การพัฒนาการบริหารและกฎหมาย (Political Development as Administrative
and Legal Development) ถ้าเราแยกการสร้างชาติออกเป็นการสร้างสถาบันและการพัฒนาความเป็นพลเมือง
เราก็จะมีความคิดทางการพัฒนาการเมืองสองแนว ความจริงแล้ว
ความคิดที่ว่าการพัฒนาการเมืองคือการสร้างองค์การมีประวัติมาช้านานซึ่งเป็นพื้นฐานที่ชาญฉลาดของระบบอาณานิคม
เพราะว่าเราได้สังเกตเห็นแล้วในประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับอารยธรรมตะวันตกที่มีต่อโลก
คือ ความเชื่อที่ว่าในการสร้างสังคมทางการเมืองนั้นก่อนอื่นจำเป็นต้องมีความเป็นระเบียบทางกฎหมายและจากนั้นความเป็นระเบียบทางการบริหาร
ประเพณีดังกล่าวได้สนับสนุนทฤษฎีปัจจุบันที่ว่า การสร้างระบบองค์การธิปไตย (Bureaucracy)
อย่างสัมฤทธิผลเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนา ในความเห็นนี้
การพัฒนาการบริหารมีความเกี่ยวพันกับการมีเหตุผล การเสริมสร้างความคิดทางโลกธรรมและทางกฎหมาย
และการมุ่งเข็มความรู้ความชำนาญทางเทคนิคไปสู่สังคมมนุษย์ แน่ล่ะ
ไม่มีรัฐใดจะอ้างว่า “พัฒนา” ถ้าขาดความสามารถที่จะจัดการเรื่องสาธารณะอย่างได้ผล
และเมื่อใดที่รัฐใหม่มีการบริหารที่ได้ผล ปัญหาต่างๆ ก็มักจะอยู่ในวิสัยที่แก้ไขได้
ในทางตรงกันข้าม การบริหารแต่อย่างเดียวไม่เพียงพอ และความจริงแล้ว
ถ้าหากมีการบริหารมากเกินไป
อาจก่อให้เกิดความไม่สมดุลในสังคมซึ่งอาจขัดต่อการพัฒนาทางการเมือง
ความจริงเรื่องการพัฒนาการเมืองที่มุ่งที่เรื่องการบริหารนั้น
มองข้ามปัญหากรฝึกฝนพลเมืองและการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน
ซึ่งทั้งสองสิ่งนั้นเป็นแง่สำคัญของการพัฒนาการเมือง
6. การพัฒนาการเมืองคือการระดมพลและการมีส่วนร่วมทางการเมือง
(Political Development as Mass Mobilization and Participation) การพัฒนาการเมืองอีกแง่หนึ่งเกี่ยวเนื่องกับบทบาทของประชาชนและมาตรฐานใหม่ของความภักดีและการมีส่วนเกี่ยวข้อง
เป็นที่เข้าใจได้ว่า ในประเทศอาณานิคมก่อนๆ
มีความคิดว่าสิ่งที่เรียกว่าการพัฒนาการเมืองคือความตื่นตัวทางการเมืองแบบหนึ่ง ซึ่งไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินกลายเป็นประชาชนผู้มีความกระตือรือร้นและมีความผูกพันต่อการเมือง ในบางประเทศความเชื่ออันนี้มีมากจนกระทั่งถึงขนาดที่ว่า การเมืองแบบประชาชนมีส่วนร่วมนั้นกลายเป็นจุดหมายปลายทางของมันเอง และทั้งผู้นำและประชาชนเชื่อว่าความจำเริญของชาติอยู่ที่ความถี่ของการแสดงออกทางการเมืองของประชาชน ในทางตรงกันข้ามประเทศซึ่งมีความก้าวหน้าอย่างมีระเบียบได้ผล อาจรู้สึกไม่พอใจ ถ้าเขารู้สึกว่า ประเทศเพื่อนบ้านซึ่งประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างมากนั้นกำลังประสบ “การพัฒนา” อย่างยิ่งใหญ่ ตามความคิดเห็นส่วนมาก การพัฒนาการเมืองนั้นจะต้องมีการขยายการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน แต่มีจุดที่สำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องพิจารณาคือการแยกแยะเงื่อนไขของการขยายนี้ ในทางประวัติศาสตร์ตะวันตก การพัฒนาการเมืองอันนี้ผูกพันอย่างใกล้ชิดกับสิทธิการลงคะแนนเสียงและการนำเอาชนกลุ่มใหญ่เข้ามาสู่ในวิถีทางการเมือง การมีส่วนร่วมทางการเมืองนั้นหมายถึงการกระจายในการตัดสินนโยบายและการมีส่วนร่วมนั้นทำให้เกิดผลกระทบต่อการเลือกและการตัดสิน อย่างไรก็ตามในรัฐใหม่บางรัฐการมีส่วนร่วมทางการเมืองไม่ได้เกิดพร้อมกับการมีสิทธิการลงคะแนนเสียง แต่หากเป็นการตอบโต้ของชนกลุ่มใหญ่ที่มีต่อการชักจูงของผู้นำ ควรยอมรับว่า แม้การมีส่วนร่วมในขอบเขตที่แคบดังกล่าวนี้ ก็ยังเป็นประโยชน์ต่อการสร้างชาติ เพราะเป็นวิธีหนึ่งที่จะสร้างความภักดีอันใหม่ และความรู้สึกใหม่ในเอกลักษณ์ของชาติ ดังนั้น ถึงแม้การมีส่วนร่วมทางการเมืองนั้น เป็นแง่ของการพัฒนาการเมือง แต่ก็เต็มไปด้วยอันตราย เช่น อันตรายที่เกิดจากอารมณ์รุนแรง หรือผู้ก่อกวนทางการเมือง ซึ่งทั้งสองอันนี้อาจจะทำลายล้างความมั่นคงของสังคม แน่ละ ปัญหาก็อยู่ที่การพยายามสร้างดุลยภาพระหว่างความรู้สึกของประชาชนต่อการมีส่วนร่วมและความเป็นระเบียบเรียบร้อยในสังคม ซึ่งเป็นปัญหาขั้นมูลฐานของระบบประชาธิปไตย
มีความคิดว่าสิ่งที่เรียกว่าการพัฒนาการเมืองคือความตื่นตัวทางการเมืองแบบหนึ่ง ซึ่งไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินกลายเป็นประชาชนผู้มีความกระตือรือร้นและมีความผูกพันต่อการเมือง ในบางประเทศความเชื่ออันนี้มีมากจนกระทั่งถึงขนาดที่ว่า การเมืองแบบประชาชนมีส่วนร่วมนั้นกลายเป็นจุดหมายปลายทางของมันเอง และทั้งผู้นำและประชาชนเชื่อว่าความจำเริญของชาติอยู่ที่ความถี่ของการแสดงออกทางการเมืองของประชาชน ในทางตรงกันข้ามประเทศซึ่งมีความก้าวหน้าอย่างมีระเบียบได้ผล อาจรู้สึกไม่พอใจ ถ้าเขารู้สึกว่า ประเทศเพื่อนบ้านซึ่งประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างมากนั้นกำลังประสบ “การพัฒนา” อย่างยิ่งใหญ่ ตามความคิดเห็นส่วนมาก การพัฒนาการเมืองนั้นจะต้องมีการขยายการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน แต่มีจุดที่สำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องพิจารณาคือการแยกแยะเงื่อนไขของการขยายนี้ ในทางประวัติศาสตร์ตะวันตก การพัฒนาการเมืองอันนี้ผูกพันอย่างใกล้ชิดกับสิทธิการลงคะแนนเสียงและการนำเอาชนกลุ่มใหญ่เข้ามาสู่ในวิถีทางการเมือง การมีส่วนร่วมทางการเมืองนั้นหมายถึงการกระจายในการตัดสินนโยบายและการมีส่วนร่วมนั้นทำให้เกิดผลกระทบต่อการเลือกและการตัดสิน อย่างไรก็ตามในรัฐใหม่บางรัฐการมีส่วนร่วมทางการเมืองไม่ได้เกิดพร้อมกับการมีสิทธิการลงคะแนนเสียง แต่หากเป็นการตอบโต้ของชนกลุ่มใหญ่ที่มีต่อการชักจูงของผู้นำ ควรยอมรับว่า แม้การมีส่วนร่วมในขอบเขตที่แคบดังกล่าวนี้ ก็ยังเป็นประโยชน์ต่อการสร้างชาติ เพราะเป็นวิธีหนึ่งที่จะสร้างความภักดีอันใหม่ และความรู้สึกใหม่ในเอกลักษณ์ของชาติ ดังนั้น ถึงแม้การมีส่วนร่วมทางการเมืองนั้น เป็นแง่ของการพัฒนาการเมือง แต่ก็เต็มไปด้วยอันตราย เช่น อันตรายที่เกิดจากอารมณ์รุนแรง หรือผู้ก่อกวนทางการเมือง ซึ่งทั้งสองอันนี้อาจจะทำลายล้างความมั่นคงของสังคม แน่ละ ปัญหาก็อยู่ที่การพยายามสร้างดุลยภาพระหว่างความรู้สึกของประชาชนต่อการมีส่วนร่วมและความเป็นระเบียบเรียบร้อยในสังคม ซึ่งเป็นปัญหาขั้นมูลฐานของระบบประชาธิปไตย
7. การพัฒนาการเมือง
คือ การสร้างประชาธิปไตย (Political Development as the Building of
Democracy) ความคิดอันนี้ คือ
การพัฒนาการเมืองเหมือนหรือควรเหมือนกับการสร้างสถาบันและการปฏิบัติประชาธิปไตย
แนวความคิดนี้มีข้อสันนิษฐานว่ารูปแบบของการพัฒนาการเมืองมีอยู่รูปเดียว คือ การสร้างประชาธิปไตย
การมองการพัฒนาการเมืองว่า คือ ระบบประชาธิปไตยก็ได้เกิดการต่อต้านแนวความคิดนี้
โดยเฉพาะในหมู่นักสังคมศาสตร์
ที่พยายามจะทำให้สังคมศาสตร์เป็นศาสตร์ปราศจากคุณค่านิยมและมุ่งที่จะวิเคราะห์การเมืองอย่างวัตถุวิสัย นอกจากนี้ เพื่อสะดวกในการปฏิบัติในการให้ความช่วยเหลือต่างประเทศ
คนอเมริกันยังมีเหตุผล (แม้จะเป็นเหตุผลที่ผิด) ที่จะเชื่อว่า
จะเป็นการง่ายกว่าที่จะพูดกับประเทศด้อยพัฒนาในเรื่องการ “พัฒนา”
มากกว่าเรื่อง “ประชาธิปไตย” ข้อถกเถียงก็คือ ประชาธิปไตยเป็นคำซึ่งเต็มไปด้วยคุณค่านิยม ส่วนการพัฒนานั้นเป็นกลาง
การพยายามใช้ประชาธิปไตยเพื่อการพัฒนาการเมืองจึงอาจจะถูกเข้าใจว่า
เป็นการพยายามเอาคุณค่านิยมอเมริกัน หรือตะวันตกมายัดใส่
8. การพัฒนาการเมืองคือเสถียรภาพการเมืองและการเปลี่ยนแปลงอย่างมีระเบียบ
(Political Development as Stability and Orderly Change) คนจำนวนมากที่รู้สึกว่าประชาธิปไตยไม่สอดคล้องกับการพัฒนาอย่างรวดเร็วนั้น
มักจะมีแนวความคิดและมองการพัฒนาในแง่ของความเป็นระเบียบทางเศรษฐกิจและสังคม
ผู้มีความเชื่อทางการเมืองนี้มักเชื่อว่า
การพัฒนาการเมืองคือความมีเสถียรภาพทางการเมือง และมีความสามารถเปลี่ยนแปลงอย่างมีระเบียบ เสถียรภาพซึ่งเป็นเพียงการหยุดนิ่ง
และการสนับสนุนสภาพคงที่นั้นไม่ใช่การพัฒนา อย่างไรก็ดี
เสถียรภาพก็มีความผูกพันกับการพัฒนาในแง่ที่ว่าความสำเร็จทางเศรษฐกิจและสังคมมักขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมซึ่งความไม่แน่นอนได้ถูกลดลงและการวางแผนได้ตั้งอยู่บนรากฐานของการคาดคะเนอย่างเป็นไปได้
ความคิดการพัฒนานี้จะถูกจำกัดอยู่ในขอบข่ายของการเมือง เพราะว่า
สังคมซึ่งวิถีทางการเมืองสามารถที่จะควบคุมและอำนวยการเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างมีเหตุผล
ไม่เพียงแต่เป็นการตอบโต้ต่อมันก็ย่อมจะพัฒนากว่าสังคม ซึ่งวิถีทางการเมืองตกเป็นเหยื่อของ
“พลัง” สังคม เศรษฐกิจ
ซึ่งควบคุมชะตาชีวิตของประชาชน ดังนั้นเช่นเดียวกับที่มีการอ้างว่า
ในสังคมใหม่นั้น บังคับธรรมชาติเพื่อจุดประสงค์ของเขา
ส่วนสังคมเก่าเพียงปรับตัวให้เข้ากับธรรมชาติ
เราอาจถือว่าจะมีการพัฒนาการเมืองขึ้นอยู่กับสามารถควบคุมการเปลี่ยนแปลงสังคมหรือถูกควบคุมโดยสังคม
และแน่ละจุดเริ่มต้นของกรควบคุมพลังทางสังคม คือ
การสามารถรักษาความเป็นระเบียบทางสังคม ปัญหาของความคิดของการพัฒนาอันนี้ ก็คือ
ไม่มีคำตอบว่าความเป็นระเบียบจะต้องมีขนาดใดจึงจะพอเพียงหรือเป็นสิ่งที่พึงประสงค์และเพื่อจุดประสงค์อันใด
สำหรับการเปลี่ยนแปลงยังมีปัญหาต่อไปว่า
การพยายามเอาเสถียรภาพและการเปลี่ยนแปลงมารวมกันจะไม่เป็นความฝันของชนชั้นกลางหรือของสังคมซึ่งดีกว่าประเทศด้อยพัฒนาทั้งหลายในปัจจุบันหรอกหรือ
ประการสุดท้าย
ในเรื่องของลำดับความสำคัญก็มีความรู้สึกว่าการรักษาความเป็นระเบียบถึงแม้ว่าจะเป็นที่ปรารถนาหรือสำคัญประการใดก็ตาม
ยังเป็นรองต่อการที่จะทำให้สำเร็จ ดังนั้น การพัฒนาจึงต้องมองผลของการปฏิบัติ
9. การพัฒนาการเมือง
คือ การระดมพลและอำนาจ (Political Development as Mobilization and Power) การยอมรับว่า ระบบการเมืองนั้นจะต้องมีความสามารถและประโยชน์ต่อสังคมนำไปสู่ความคิดที่ว่า
การพัฒนาการเมืองคือความสามารถของระบบ เมื่อมีการเถียงว่า
ประชาธิปไตยอาจจะทำให้ประสิทธิภาพของระบบลดลง ก็มีข้อสันนิษฐานอยู่ว่า
เป็นสิ่งที่จะเป็นไปได้ที่จะวัดความสามารถของระบบและขณะเดียวกันความคิดเรื่องประสิทธิภาพทำให้คิดว่า
มีแบบแผนทางทฤษฎีหรืออุดมคติที่สามารถเปรียบเทียบกับข้อเท็จจริง
ความคิดอันนี้นำไปสู่ความเชื่อว่า
ระบบการเมืองสามารถจะถูกวัดได้โดยใช้ระดับหรือขอบข่ายของอำนาจสูงสุดซึ่งระบบสามารถจะระดมพลและอำนาจ
ระบบบางระบบนั้นซึ่งอาจจะมีเสถียรภาพหรือไม่มีก็ตามดูเหมือนว่าจะดำเนินต่อไปโดยมีอำนาจเพียงเล็กน้อย
ขณะเดียวกันผู้ตัดสินนโยบายมีอำนาจอย่างมาก ดังนั้น
สังคมจึงสัมฤทธิ์ผลในความมุ่งหมายที่มีร่วมกัน
รัฐย่อมต่างกันตามพื้นฐานของทรัพยากร
แต่การวัดการพัฒนาทำได้โดยดูที่ขอบข่ายที่รัฐเหล่านั้นสามารถใช้ประโยชน์ทรัพยากรของตนอย่างเต็มที่
การตระหนักด้วยว่า
การกล่าวเบื้องต้นไม่จำเป็นต้องนำไปสู่ความคิดที่หยาบและมีลักษณะเป็นเผด็จการ
การพัฒนา คือ ความสามารถของรัฐที่จะเอาทรัพยากรจากสังคม ความสามารถที่จะระดมทรัพยากรและการแจกแจงทรัพยากรมักจะผูกพันกับการสนับสนุนของประชาชนที่มีระบบการเมืองและด้วยเหตุอันนี้
ระบบประชาธิปไตยจึงมักจะระดมทรัพยากรได้สมฤทธิ์ผลดีกว่าระบบเผด็จการที่กดขี่
ความจริงแล้วในทางปฏิบัติ
ปัญหาของการพัฒนาการเมืองในหลายสังคมอาจจะเกี่ยวพันกับการได้รับความสนับสนุนจากประชาชน
อันนี้ไม่ใช่เพราะคุณค่าทางประชาธิปไตย แต่เนื่องจากว่า การสนับสนุของประชาชนจะทำให้ระบบการเมืองสามารถระดมอำนาจได้
เมื่อการพัฒนาการเมือง คือ
การระดมและการเพิ่มระดับอำนาจสูงสุดในสังคมเราก็สามารถจะแยกแยะจุดประสงค์ของการพัฒนากับคุณลักษณะต่างๆ
ที่ผูกพันกับการพัฒนาลักษณะเหล่านี้อาจจะวัดได้ และดังนั้น
จึงเป็นไปได้ที่จะสร้างดัชนีของการพัฒนา ซึ่งได้แก่
จำนวนและขอบเขตของสื่อมวลชนซึ่งได้แก่จำนวนหนังสือพิมพ์ การกระจายวิทยุ
พื้นฐานทางภาษีของสังคม สัดส่วนประชากร ในรัฐบาลและส่วนอื่น
การจัดสรรทรัพยากรเพื่อการศึกษาการป้องกันประเทศและสวัสดิการของสังคม
10. การพัฒนาการเมืองเป็นแง่หนึ่งของการเปลี่ยนแปลงทางสังคม
(Political Development as One aspect of a Multi – Dimensional Process of
Social Change) ความจำเป็นที่ต้องมีข้อสันนิษฐานทางทฤษฎีเพื่อเลือกสรรดัชนีในการวัดการพัฒนานำไปสู่ความคิดที่ว่าการพัฒนาการเมืองนั้นผูกพันอย่างแน่นแฟ้นกับการเปลี่ยนแปงทางสังคมและเศรษฐกิจนี่เป็นความจริงเพราะอะไรก็ตามที่อธิบายถึงศักยภาพของอำนาจของประเทศมักจะสะท้อนให้เห็นถึงสภาวะเศรษฐกิจและสภาพสังคม
ข้อถกเถียงนี้อาจจะกล่าวต่อไปอีกว่า
เป็นสิ่งไม่จำเป็นและไม่เหมาะสมที่จะแยกแยะการพัฒนาการเมืองจากการพัฒนาในด้านอื่นๆ
ถึงแม้ว่าในขอบเขตที่จำกัดอาณาจักรแห่งการเมืองอาจจะอยู่โดดเดี่ยวจากส่วนของสังคม
แต่ถ้าจะมีการพัฒนาการเมืองอย่างสม่ำเสมอจะต้องมีการพัฒนา ในด้านอื่นๆ
ของสังคมโดยจะปล่อยส่วนอื่นของสังคมล้าหลังไม่ได้ ตามความเห็นดังนี้
การพัฒนามีการเกี่ยวพันกันทุกด้าน การพัฒนาเหมือนกันอย่างมากกับความเจริญทันสมัย (Modernization)
และการพัฒนาเกิดขึ้นในกรอบทางประวัติศาสตร์
ซึ่งอิทธิพลจากข้างนอกสังคมมีต่อกระบวนการเปลี่ยนแปลงของสังคมเช่นเดียวกับการเปลี่ยนแปลงในแง่ต่างๆ
ในสังคม กล่าวคือ ทางเศรษฐกิจการเมืองและสภาพสังคมอย่างผูกพันซึ่งกันและกัน
จะเห็นได้ว่า
คำจำกัดความดังกล่าวมานั้นส่วนใหญ่เป็นการมองการพัฒนาการเมือง
โดยจะเน้นในแง่ที่นักวิชาการแต่ละสำนักคิดว่า
เป็นตัวแปรสำคัญและบางคำจำกัดความจำเป็นจะต้องกล่าวถึงแนวความคิดดังกล่าว เช่น
คำจำกัดความข้อ 1 แทบจะไม่ได้ให้คำจำกัดความเลย บอกเพียงว่าการพัฒนาการเมืองคือรากฐานของการพัฒนาเศรษฐกิจหรือบางจำกัดความก็มีอคติแฝงไว้อย่างเห็นได้ชัด
เช่น คำจำกัดความข้อ 7 ที่ว่า
การพัฒนาการเมืองคือการสร้างประชาธิปไตย ถ้าเช่นนี้ก็หมายความว่า สังคมอยุธยาก็ดี
จีนโบราณซึ่งมีประวัติศาสตร์มาสี่พันปีก็ดี หรือสหภาพโซเวียตปัจจุบัน
หรือสาธารณะประชาชนจีน ไม่มีการพัฒนาการเมือง
หรือการสร้างทฤษฎีทางสังคมศาสตร์ในลักษณะวิทยาศาสตร์จะต้องมีความเป็นกลาง มิใช่เอนเอียงไปตามอุดมการณ์ หรือความเชื่อของตน จะเห็นได้ว่า
ปัญหาเรื่องคำจำกัดความจึงเป็นปัญหาขั้นพื้นฐานที่จะต้องมีการตกลงยอมรับก่อนที่จะมีการสร้างทฤษฎีวิทยาศาสตร์ขึ้นมา
เนื่องจากการมองดูปัญหาแต่ละแง่ตามที่ตนถนัดหรือเข้าใจว่าเป็นตัวแปรสำคัญ จึงมีผู้พยายามจะรวมคำจำกัดความต่างๆ
และพยายามหาจุดร่วมซึ่งเป็นแก่นสำคัญของความหมายเรื่องการพัฒนาการเมือง
ซึ่งอ้างว่าในแต่ละสำนักความคิดทั้งหมดที่กล่าวมานั้นมีลักษณะร่วมซึ่งสรุปได้สามข้อใช้ชื่อแนวความคิดพัฒนาการเมืองซึ่งประกอบด้วยตัวแปรหลายๆ
ตัว หรือแง่พิจารณาหลายๆ แง่ว่า Development Syndrome ซึ่งผู้เขียนขอใช้คำว่า
พหุภาพแห่งการพัฒนา ลักษณะร่วมสามข้อ คือ Equality, Capacity และ Differentiation Equality หรือความเสมอภาค คือ
การที่สังคมนั้นมีการแปรเปลี่ยนจากสังคมที่เป็นไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินมาเป็นประชาชนซึ่งมีสิทธิมีเสียง
มีส่วนร่วมทางการเมือง และกฎหมายในสังคมนั้นต้องมีลักษณะสากล คือ
ปรับใช้กับทุกคนเท่าเทียมกัน การมีอำนาจและสถานะในระบบการเมืองต้องใช้ความสามารถเป็นเกณฑ์มิใช่ชาติกำเนิดเป็นหลักตัดสิน
Capacity หรือความสามารถของระบบการเมืองที่จะมีการผลิตที่มีผลกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจ
และประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการปฏิบัติตามนโยบายสาธารณะ นอกจากนั้น ยังต้องมีเหตุผลและการมองนโยบายลักษณะโลกธรรมและในลักษณะที่เป็นระบบแบบแผน
Differentiation หรือการแยกเฉพาะด้าน กล่าวคือ
การแยกแยะเฉพาะด้านของโครงสร้าง องค์การ และหน่วยงาน มีหน้าที่จำกัดและเฉพาะเจาะจง
มีการแบ่งงานตามความชำนาญ
การมองดูการพัฒนาการเมืองแบบ
Development
Syndrome ดังกล่าวข้างบนนั้นจะปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นการมองรูปแบบในอุดมคติ
ซึ่งเป็นจุดหมายบั้นปลายอันพึงประสงค์แต่ถ้าพิจารณาในแง่การสร้างทฤษฎีจะเห็นได้ว่า
คำจำกัดความข้างบนนี้มีลักษณะเอนเอียงไปทางระบบตะวันตก คำจำกัดความโดยมี Equality,
Capacity และ Differentiation นั้นจะเห็นได้ชัดว่า
เป็นรูปแบบของสหรัฐอเมริกาและยุโรปตะวันตก แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์
กล่าวง่ายๆ คือ เป็นคำจำกัดความที่เกิดจากพื้นฐานของสังคมเหล่านี้
จึงเกิดข้อสงสัยว่า แนวความคิดการพัฒนาการเมืองนี้จะใช้ได้เฉพาะประเทศดังกล่าวมา
และถ้าถือเอาตามนี้ ประเทศในฝ่ายคอมมิวนิสต์ เช่น สหภาพโซเวียต
สาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นต้น ไม่มีการพัฒนาการเมืองและสังคมต่างๆ ในอดีต จีนโบราณ
จักรวรรดิ์โรมัน สุโขทัย อยุธยา ฯลฯ
ไม่มีการพัฒนาการเมืองและไม่เคยมีกล่าวอีกนัยหนึ่ง คำจำกัดความดังกล่าว Extrapolate
ในมิติของกาละเทศะไม่ได้เลย
จึงเป็นคำจำกัดความในลักษณะที่ไม่ใช่อกาลีโก จึงขาดความเป็นวิทยาศาสตร์
มีนักวิชาการบางท่านเห็นว่า คำจำกัดความดังกล่าวข้างบนนั้น
ไม่น่าเชื่อถือเป็นการพัฒนาการเมือง (Political Development) แต่เป็นการทำให้พ้นสมัยทางการเมืองหรือการทำให้ระบบการเมืองทันสมัย (Political
Modernization) ซึ่งจะต้องมีลักษณะสามประการดังกล่าวมาแล้วส่วนการพัฒนาการเมืองนั้น
คือ “ความสามารถของระบบการเมืองที่จะสร้างความสนับสนุนจากมวลชนเพื่อตอบสนองต่อความต้องการทางสังคม
(The Capacity of The Political System to Generate Support to Meet
Societal Demands) กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ การพัฒนาการเมืองนั้น คือ ความสามารถที่ระบบการเมืองทำให้คนในสังคมสนับสนุนเพื่อการแก้ปัญหาต่างๆ
ของสังคม กล่าวคือ เพื่อตอบสนองความต้องการของสังคม
จุดเน้นอยู่ที่ระบบการเมืองสามารถระดมทรัพยากรมนุษย์และทรัพยากรธรรมชาติเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของสังคมและเพื่อแก้ปัญหาต่างๆ
ของสังคมในกรณีเช่นนี้
ในบางช่วงเวลาประเทศที่มีความทันสมัยทางการเมืองสูงการมีระดับการพัฒนาทางการเมือง่ำ
ในทางกลับกันประเทศที่มีความทันสมัยทางการเองต่ำการมีระดับการพัฒนาทางการเมืองสูง
ตัวอย่างเช่น ในสมัยสงครามเวียดนาม สหรัฐอเมริกามีการพัฒนาทางการเมืองต่ำ ทั้งๆ
ที่ระดับความทันสมัยทางการเมืองสูง ส่วนสาธารณรัฐประชาชนจีนมีการพัฒนาการเมืองสูง
ทั้งๆ ที่การทันสมัยทางการเมืองต่ำ สหภาพโซเวียตก็อยู่ในลักษณะเดียวกัน (ดูภาพประกอบ)
จากภาพเราพอจะเปรียบเทียบอย่างหยาบๆ
ได้ว่า ถ้าพูดถึงแง่ความทันสมัยทางการเมือง สหรัฐอเมริกามีความทันสมัยสูงสุด
รองลงมาคือสหภาพโซเวียต และตามมาด้วยสาธารณรัฐปยระชาชนจีน
แต่ในทางการพัฒนาการเมือง คือ
การที่ระบบทำให้สมาชิกประชาคมการเมืองสนับสนุนเพื่อตอบสนองความต้องการของสังคมนั้น
สาธารณรัฐประชาชนจีนอยู่ในอันดับสูงสุด รองลงมาได้แก่สหภาพโซเวียต และต่ำสุด คือ สหรัฐอเมริกา
นี่เป็นการพูดถึงช่วงระยะเวลาระหว่างสงครามเวียตนาม
ซึ่งสหรัฐอเมริกาประสบปัญหาการต่อต้านสงครามและปัญหาระหว่างผิว
การสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลตกต่ำมาก นักวิชาการอีกท่านหนึ่งที่แยกระหว่างคำว่า
การพัฒนาการเมืองและการทำให้ทันสมัยทางการเมืองคือ Samuel Huntington การทำให้ระบบการเมืองทันสมัย
(Political Modernization) นั้น ประกอบด้วยตัวแปรผันสามตัว
คือ
1. ความมีเหตุผลของอำนาจ
(Rationalization of Authority) ทั้งในแง่ของที่มาแห่งอำนาจและการใช้อำนาจ
2. การจำแนกแยกแยะและทำหน้าที่ตามความชำนาญเฉพาะอย่างของโครงสร้างของระบบการเมือง
(Differentiation and Specialization)
3. การเข้ามีส่วนร่วมทางการเมือง
(Political Participation)
ซึ่ง Huntington ได้กล่าวต่อว่า
การทำให้ทันสมัยทางการเมืองมีจุดเน้นที่นำมาซึ่งรูปแบบระบบการเมืองทันสมัย
ซึ่งเกี่ยวพันกับการเกิดขึ้นของกลุ่มทางสังคมใหม่
ซึ่งมีความสำนึกทางการเมืองและกลุ่มเหล่านี้ได้เคลื่อนย้ายเข้าสู่ระบบการเมือง
ซึ่งอาจทำให้เกิดการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
ส่วนการพัฒนาการเมือง
(Political
Development) นั้น หมายถึง
การที่จะสร้างสถาบันทางการเมืองที่มีลักษณะยืดหยุ่น (Adaptability) ซับซ้อน (Complexity) และเป็นอิสระพอสมควร (Automeny)
และมีความเป็นกลุ่มเป็นก้อนมากพอ (Coherence) ที่จะสามารถควบคุมการขยายตัวของการมีส่วนร่วมทางการเมืองได้
ตลอดจนสามารถที่จะส่งเสริมให้มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคมและเศรษฐกิจ
ถ้าจะกล่าวอย่างสั้นๆ
ก็คือความทันสมัยทางการเมืองคือการตื่นตัวและมีส่วนร่วมทางการเมือง
ส่วนการพัฒนาการเมืองคือการสร้างสถาบันเพื่อจัดระเบียบการมีส่วนร่วมทางการเมืองดังกล่าว
ซึ่งถ้าอัตราการพัฒนาการเมืองเกิดขึ้นไม่ทันอัตราความทันสมัยทางการเมือง
ก็จะนำไปสู่ความผุพังทางการเมือง (Political Decay)
แนวความคิดของ
Huntington
มีสาระประโยชน์อย่างมากสำหรับการวิเคราะห์การเมืองในประเทศกำลังพัฒนา
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ การเมืองไทยหลัง 14 ตุลาคม 2516 มีการตื่นตัวทางการเมืองมาก หรือกล่าวได้ว่ามี Political
Modernization มาก แต่การพัฒนาการเมือง (Political
Development) หรือสร้างสถาบันทางการเมืองที่จะจัดระเบียบการมีส่วนร่วมทางการเมืองนั้นเจริญไม่ทัน
ผลสุดท้ายก็นำไปสู่ความผุพังทางการเมืองตามที่ทราบกันอยู่ แต่คำจำกัดความดังกล่าวก็แคบเกินไป
และยังติดอยู่กับสภาวะการเมืองในยุคใหม่ คือ การมีส่วนร่วมทางการเมือง
ซึ่งทำให้ปรับใช้ไม่ได้กับยุคสมัยที่คนไม่ส่วนร่วมทางการเมือง
สำหรับ Huntington เองนั้น ต่อมาก็ได้เปลี่ยนแนวความคิดในเรื่องการพัฒนาการเมือง
โดยเขียนบทวิจารณ์ตัวเอง และออกมาด้วยความคิดแนวใหม่ในแง่ “The Change to
Change” โดยมองดูการปรับเปลี่ยนของระบบการเมืองที่จะรับการเปลี่ยนแปลงด้านอื่น
ในแง่นี้จะเห็นว่าเป็นการทางที่การเปลี่ยนแปลงของระบบการเมืองโดยเลี่ยงศัพท์คำว่า
การพัฒนาการเมือง
สำหรับแนวความคิดนี้
อาจจะเหมาะกับการมองดูการเปลี่ยนแปลงของระบบการเมือง ซึ่งในแง่หนึ่งก็คือ
ความสามารถในการปรับตัวหรือปรับเปลี่ยนเพื่อสนองต่อการเปลี่ยนแปลง
ซึ่งมีความหมายกว้าง เพราะรวมทั้งในแง่โครงสร้างทางการเมือง วัฒนธรรม และค่านิยม
ทัศนคติต่างๆ ในแง่หนึ่งเป็นการหลีกเลี่ยงข้อถกเถียงและจุดอ่อนต่างๆ
ของทฤษฎีพัฒนาการเมืองความพยายามของนักวิชาการในโลกกำลังพัฒนาที่จะประยุกต์ทฤษฎีพัฒนาการเมืองซึ่งส่วนใหญ่เป็นของนักวิชาการประเทศตะวันตก
โดยเฉพาะนักวิชาการอเมริกัน มักจะประสบปัญหาในแง่ที่ว่าปรับได้ลำบาก
เพราะทฤษฎีหรือแนวความคิดดังกล่าว
สร้างมาจากประวัติศาสตร์และวิวัฒนาการของประเทศตะวันตก เช่น Development Syndrome
หรือพหุภาพแห่งการพัฒนาของ Pye แม้จะพยายามหลีกเลี่ยงโดยพยายามทำให้เป็นทฤษฎีสากลที่ใช้ได้ทุกกาละเทศะ
เช่น ของ Huntington เรื่อง Political Modernization
(ความตื่นตัวทางการเมือง) และ Political Development (การจัดตั้งสถาบันรองรับการมีส่วนร่วม) มิฉะนั้นจะเกิด Decay ก็ไม่สามารถปรับเข้ากับยุคที่คนไม่มีส่วนร่วมทางการเมืองจึงได้มีการคิดแนวทฤษฎีใหม่ขึ้นมา
ซึ่งจะกล่าวโดยสังเขปข้างล่างนี้
แนวความคิดการพัฒนาการเมืองที่ใช้ได้กับระบบการเมืองทุกระบบทุกยุคทุกสมัยนี้จะพิจารณาเฉพาะด้านการเมือง
โดยดูที่สถาบันและกระบวนการทางการเมืองและอำนาจทางการเมือง
แนวความคิดอันนี้จะมีลักษณะเป็นกลางโดยไม่มีอคติทางอุดมการณ์ทางการเมืองด้วย
แผนพัฒนาการเมืองจะประกอบด้วยตัวแปรสามตัว คือ
1. ความสามารถในการที่ทำให้ระบบการเมืองยอมรับโดยสมาชิกของประชาคมการเมือง
(The Capacity to Make The Political System Acceptable by Members of The
Political Community)
2. การรับช่วงอำนาจทางการเมืองอย่างสันติ
(Peaceful Transfer of Power)
3. ความต่อเนื่องของระบบการเมือง
(Continuity of The Political System) ตัวแปรข้อหนึ่งที่ว่า
ความสามารถในการที่ทำให้ระบบการเมืองยอมรับโดยสมาชิกของประชาคมการเมืองนั้น
หมายความว่า
ถ้าระบบการเมืองนั้นสามารถใช้วิธีโฆษณาชวนเชื่อหรือแสดงความสามารถในการแก้ปัญหาสังคม
ทำให้เกิดความยอมรับหรือความชอบธรรมขึ้นโดยไม่ใช้กำลัง ทั้ง ๆ
ที่ระบบนั้นอาจเป็นระบบที่มีความเหลื่อมล้ำต่ำสูง ความยุติธรรม
แต่ถ้าสมาชิกสังคมยอมรับสภาพดังกล่าวโดยดุษฎี เช่น
ยอมรับสภาพทางสังคมและเศรษฐกิจที่ต่ำกว่าสมาชิกอื่นและยังให้ความสนับสนุนระบบการเมืองนั้นอย่างเต็มใจ
ก็ถือว่า ระบบการเมืองนั้นมีความสามารถที่ทำให้เป็นที่ยอมรับและมีความชอบธรรม
การกล่าวเช่นนี้ มิได้หมายความว่าเป็นการสนับสนุนระบบที่ขาดความยุติธรรมทางสังคม
แต่เป็นการมองจากความเป็นจริงว่า
มีสังคมจำนวนมากที่คนมีความแตกต่างและไม่เสมอภาคกัน แต่ก็ยังยอมรับระบบการเมือง
ตัวอย่างดังกล่าวมีมากมายไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึง
ตัวแปรตัวที่สองซึ่งได้แก่
การรับช่วงอำนาจทางการเมืองอย่างสันติ หมายถึงการเปลี่ยนตัวผู้นำต้องไม่เกิดจากการใช้อำนาจอาวุธหรืออำนาจทหาร
หรือวิธีการอันรุนแรง ช่วงชิงอำนาจนั้น จะเป็นด้วยการสร้างประเพณีการสืบต่อ
หรือการเลือกตั้งโดยมีกำหนดระยะเวลาที่แน่นอน
หรือการต่อรองในพรรคว่าใครควรจะสืบต่อ
หรือผ่านการทดลองความสามารถเพื่อเป็นผู้นำโดยไปต่อสู้กับชีวิตคนเดียวบนเกาะที่มีภยันตรายต่างๆ
ถ้ารอดชีวิตก็จะได้เป็นผู้นำซึ่งเป็นวิธีปฏิวัติของคนบางเผ่าในสมัยโบราณ
ข้อสำคัญคือต้องไม่ใช้กำลังช่วงเชิง รัฐประหารยึดอำนาจ อะไรทำนองนี้
แต่เป็นปลายวิธีกันสันติ
ตัวแปรข้อที่สาม
คือ ความต่อเนื่องของระบบการเมือง หมายความว่า
ระบบการเมืองนั้นต้องมีความต่อเนื่องพอสมควร
ที่เห็นได้ชัดว่าระบบมีความต่อเนื่องก็คือระบบประชาธิปไตยอังกฤษ
(ประมาณเจ็ดร้อยกว่าปี) อเมริกา (สองร้อยกว่าปี) สหภาพโซเวียต (60 ปี)
แต่ปัญหาคือ เราจะเอาหลักเกณฑ์อะไรวัดความต่อเนื่อง ก็คงต้องอาศัยหลักเกณฑ์สองประการ
คือ ถ้าระบบนั้นต่อเนื่องกันอย่างน้อยสองชั่วอายุคนและมีการสืบช่วงอำนาจให้เห็นด้วย
เช่นระบบการปกครองของสุโขทัย
แม้จะแตกสลายก็ถือได้ว่ามีความต่อเนื่องแต่หลักเกณฑ์ดังกล่าวตั้งขึ้นมาเป็นเพียงตัวอย่างระดับการให้คำจำกัดความเป็นระดับ
Onceptualization ส่วนการพิสูจน์การต่อเนื่องจริงๆ เป็นระดับ Operationalization ซึ่งย่อมมีหลักเกณฑ์แตกต่างกันไปแล้วแต่จะตั้งขึ้นและย่อมขึ้นอยู่กับการถกเถียงต่อไป
จากคำจำกัดความดังกล่าวข้างต้น
พอจะเห็นได้ว่า สามารถปรับวิเคราะห์ระบบการเมืองได้ทุกระบบ
ทุกกาลสมัยว่ามีการพัฒนาการเมืองหรือไม่
ระบบการเมืองสุโขทัยถือว่ามีการพัฒนาการเมืองเพราะระบบเป็นที่ยอมรับผู้นำรับช่วงอำนาจโดยมีสันติมีความต่อเนื่อง
แต่ระบบการปกรองสมัยอยุธยากลับมีระดับการพัฒนาการเมืองต่ำกว่าระบบการปกครองสมัยสุโขทัยในแง่การรับช่วงอำนาจโดยสันติ
การช่วงชิงอำนาจโดยใช้กำลังนั้นมีอยู่บ่อยครั้งในสมัยอยุธยา
ถ้าพิจารณาระหว่างสหภาพโซเวียตและสาธารณรัฐประชาชนจีนจะเห็นว่าสหภาพโซเวียตมีระดับการพัฒนาสูงกว่า
เนื่องจากการรับช่วงอำนาจเป็นไปโดยสันติกว่า
ตอนครุซซอฟตกจากอำนาจก็กระทำกันภายในกลไกของพรรค
แต่ในกรณีสาธารณรัฐประชาชนจีนต้องมีการจับ “แก๊งทั้งสี่” แต่ก็จัดว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างสงบ
ขอให้สังเกตว่าในกรณีสองประเทศนี้มีความแตกต่างกันในระดับ (Degree) ของการพัฒนาการเมือง แต่ไม่ถึงกับว่าประเทศหนึ่งมีการพัฒนาการเมือง
แต่อีกประเทศหนึ่งไม่มี ในกรณีสาธารณรัฐประชาชนจีนอาจมีการเถียงได้ว่าความต่อเนื่องยังมีระยะเวลาสั้นมาก
ประมาณ 30 ปี
แต่เราพอจะอนุมานได้ว่าการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกหน้ามือเป็นหลังมือในเนื้อหาใหญ่ของระบบการเมืองการปกครองของสาธารณรัฐประชาชนจีนคงไม่เกิดขึ้น
และระบบปัจจุบันควรดำเนินต่อไป
ถ้าใช้เกณฑ์อันเดียวกันนี้มาพิจารณาประเทศไทยก็ต้องสรุปได้ว่า
ยังไม่มีการพัฒนาการเมืองเพราะระบบการเมืองแบบทหารอาจมีการยอมรับโดยสมาชิกประชาคมส่วนหนึ่งแต่ก็ยังขาดความแน่นอนเรื่องและข้อสำคัญการสืบช่วงอำนาจนั้นไม่ได้เป็นไปโดยสันติ
คำถามที่ตามมาคือ
ระบบการเมืองไทยสมัย จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยึดอำนาจมาจนถึงการรับช่วงอำนาจต่อโดย
จอมพลถนอม กิตติขจร และหลังมีการเลือกตั้งและจอมพลถนอมเป็นนายกรัฐมนตรีต่อนั้น
จะถือว่ามีการพัฒนาการเมืองหรือไม่
คำตอบก็คือความต่อเนื่องสั้นเกินไปไม่ถึงหนึ่งชั่วอายุคน จอมพลถนอมก็ทำการปฏิวัติยึดอำนาจอีกทั้งๆ
ที่ตนเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ โดยการสนับสนุนพรรคสหประชาไทย ดังนั้นกล่าวได้ว่า
ไม่มีการพัฒนาการเมือง
เอกสารอ้างอิง
ลิขิต ธีรเวคิน. (2527). ทฤษฎีพัฒนาการเมือง.
กรุงเทพฯ: ศูนย์วิจัยคณะรัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น