ทฤษฎีการเมือง (Political Theory)
เรียบเรียงโดย
วชิรวัชร
งามละม่อม
Wachirawachr
Ngamlamom
ทฤษฎีการเมืองเป็นผลมาจากการศึกษาค้นคว้าหาทางแก้ไขปัญหาทางการเมืองที่เกิดขึ้นในแต่ละยุคแต่ละสมัย โดยการตั้งสมมติฐาน การรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ การสรุปผล
การตีความ การอธิบาย และการเสนอแนะเกี่ยวกับข้อเท็จจริงทางการเมืองที่เกิดขึ้นซ้ำๆกัน
จนกลายเป็นกฎเกณฑ์หรือทฤษฎีทางการเมืองขึ้นมา
ทฤษฎีการเมืองในปัจจุบันเป็นการแสวงหาความรู้หรือความจริงค่อนข้างมีความชัดเจนและสามารถอธิบายหรือทำนายปรากฏการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นได้ใกล้เคียงความเป็นจริง
มีความน่าเชื่อถืออยู่ไม่น้อย
แต่อย่างไรก็ตามการวิวัฒนาการของทฤษฎีการเมืองในยุคปัจจุบันย่อมมีความเกี่ยวเนื่องกับทฤษฎีการเมืองในยุคโบราณเช่นกัน เพราะทฤษฎีการเมืองยุคโบราณเป็นพื้นฐานในการศึกษา
ค้นคว้า หาคำตอบต่างๆ
และมีการปรับปรุงแก้ไขในข้อบกพร่องอย่างต่อเนื่องยาวนาน
ก่อให้เกิดแนวคิดทฤษฎีทางการเมืองใหม่ๆ ขึ้นมา
ความหมายของทฤษฎีการเมือง
ความหมายของทฤษฎีการเมืองมีหลากหลายทัศนะขึ้นอยู่กับการตีความและมุมมองของนักปราชญ์แต่ละท่าน ซึ่งพอที่จะประมวลได้ดังนี้
จรูญ สุภาพ (2528) ได้ให้ทัศนะว่าทฤษฎีการเมืองมีลักษณะชัดเจนและแน่นอนกว่าปรัชญาการเมือง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวกับสาระ คำอธิบายและความหมาย โดยทั่วไปทฤษฎีการเมืองจะเป็นผลเนื่องมาจากการศึกษาค้นคว้าและพิสูจน์ได้ว่าเป็นความจริงที่อาจรับกันได้
แต่อาจไม่เป็นความจริงแท้สมบูรณ์เหมือนวิทยาศาสตร์
ทฤษฎีการเมืองจะมีลักษณะที่สำคัญอย่างน้อย
3 ประการ คือ ข้อเท็จจริงหรือข้อมูลต่างๆ ที่ได้มาจากการศึกษารวบรวมความเป็นจริง
หลักทั่วไปซึ่งได้มาจากการวิเคราะห์ข้อมูล และทดสอบข้อมูลเหล่านั้นจากสภาพที่เป็นจริงในสังคม
คุณค่าซึ่งหมายถึงประโยชน์ที่จะพึงบังเกิดขึ้นได้ และน่าที่จะเป็นเหตุผลเพียงพอที่จะใช้เป็นแนวทางปฏิบัติ
รอเบอร์ต อี.
เมอร์ฟี่ (Robert
E. Murphy) (1970) ให้ทัศนะว่า ทฤษฎีการเมืองเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์ความคิด
หรือปรัชญาเกี่ยวกับการเมือง การปกครอง
นักทฤษฎีการเมืองมุ่งมั่นที่จะทำความเข้าใจและตีค่าข้อมูลความจริงทั่วไปที่มีความสัมพันธ์กับการกำหนดสมมติฐาน
(Hypothesis) เกี่ยวกับพฤติกรรมทางการเมืองและคุณค่าทางสังคม
เอ็ดเวอร์ด
ซี. สมิธ (Edward
C. Smith) และอาร์โนลด์ เจ. เซอร์เชอร์ (Arnold J. Zurcher,
1968) เสนอคำจำกัดความที่ดูจะครอบคลุมลักษณะและขอบเขตของทฤษฎีการเมืองไว้ได้ทั้งหมด
โดยให้ไว้ว่า ทฤษฎีการเมืองคือ “ส่วนทั้งหมดของคำสอน (Doctrine)
ที่เกี่ยวข้องกับกำเนิด, รูปแบบ, พฤติกรรม และจุดมุ่งหมายของรัฐ ส่วนของคำสอนนี้อาจแบ่งลักษณะออกเป็นประเภทได้ดังนี้
จริยธรรม, จินตนาการ, สังคมวิทยา, กฎหมาย, และวิทยาศาสตร์” สมิธและเซอร์เชอร์ให้อรรถาธิบายเกี่ยวกับลักษณะต่างๆ
ดังนี้
1) ลักษณะแบบจริยธรรม
(Ethical) ได้แก่ ส่วนของทฤษฎีการเมืองที่เกี่ยวข้องกับสิ่งใดควรทำหรือไม่ควรทำ
ถูกต้องหรือไม่ถูกต้องในกิจกรรมทางการเมือง
2) ลักษณะแบบจินตนาการ
(Speculative) คือส่วนที่เป็นความคิดฝันหรือมโนภาพที่ยังไม่ปรากฏเป็นจริงขึ้นมา
เช่น การใฝ่ฝันถึงรัฐในอุดมคติ หรือการวาดภาพเลิศนครในจินตนาการ
3) ลักษณะเชิงสังคมวิทยา
(Sociological) เป็นส่วนของทฤษฎีการเมืองที่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์หรือทดลองเปรียบเทียบเพื่อแสวงหาความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับส่วนอื่นๆ
ของสังคมหรือการวิเคราะห์รัฐในรูปของการรวมตัวทางสังคม
4) ลักษณะแบบกฎหมาย
(Legal) ได้แก่ส่วนที่ศึกษาเกี่ยวกับธรรมชาติของกฎหมาย
สังกัปของกฎหมาย และสถานะทางกฎหมาย ซึ่งเกิดขึ้นมาจากสถาบันต่างๆ และเป็นเสมือนเครื่องมือที่จะกระจายและควบคุมการใช้อำนาจทางการเมือง
5) ลักษณะแบบวิทยาศาสตร์
(Scientific) ได้แก่ทฤษฎีที่เกิดจากการสังเกตการณ์ การทดลองเปรียบเทียบพฤติกรรมการเมืองเพื่อจะค้นหาแนวโน้มและความน่าจะเป็นไป
การศึกษาสาเหตุและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ฯลฯ เป็นต้น (อ้างจาก สุขุม
นวลสกุลและโกศล โรจนพันธุ์, 2544)
สมบัติ จันทรวงศ์ (2527) ได้ให้ความหมายไว้ว่า ทฤษฎีการเมืองหมายถึง
กฎแห่งพฤติกรรมทางการเมืองซึ่งเป็นสากล
ที่นักรัฐศาสตร์สามารถจะนำมาใช้ประโยชน์ในการทำนายเหตุการณ์ในอนาคตได้ จะเห็นได้ว่า “ทฤษฎีการเมือง”
ตามความหมายนี้
เป็นผลสืบเนื่องโดยตรงมาจากการที่นักสังคมศาสตร์ พยายามทำให้ความรู้ทางสังคมศาสตร์ เป็นความรู้ที่อาจมีการพิสูจน์
หรือทดลองอย่างใดอย่างหนึ่งได้
เช่นเดียวกับกฎทางวิทยาศาสตร์ ดังที่ได้กล่าวมาแล้วนั่นเอง ในทางปฏิบัติ
ทฤษฎีการเมืองตามนัยนี้ ให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวดแก่วิธีการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูล
และหลีกเลี่ยงที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวในการประเมินค่านิยม (Value Judgement) ทฤษฎีการเมืองซึ่งพยายามอธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างปรากฏการณ์ตั้งแต่สองอย่างขึ้นไป
โดยนำข้อเสนอต่างๆ มาวางเป็นกฎเกณฑ์ จึงสามารถมีได้หลายระดับตามความน่าเชื่อถือได้ของข้อมูลที่ได้มาจากการสังเกตและพิสูจน์
และอาจมีขอบเขตกว้างขวางครอบคลุมทั้งระบบ เช่น ทฤษฎีว่าด้วยระบบการเมือง
หรือเฉพาะบางส่วนของกิจกรรมทางการเมือง เช่น ทฤษฎีพรรคการเมือง ทฤษฎีภาวะผู้นำ เป็นต้น
ดังที่กล่าวมาในข้างต้น ทฤษฎีการเมือง หมายถึง หลักเกณฑ์หรือกฎเกณฑ์ทางการเมืองที่เกิดจากการศึกษา
ค้นคว้า และพิสูจน์ว่าเป็นความจริงและมีคุณค่าเพียงพอที่จะใช้เป็นแนวทางในการนำไปปฏิบัติหรือใช้อธิบายปรากฏการณ์ทางการเมือง
ทฤษฏีการเมืองมีความเกี่ยวข้องกับศัพท์เฉพาะทางการเมือง
เช่น ปรัชญาทางการเมือง ความคิดทางการเมือง อุดมการณ์ทางการเมือง ลัทธิการเมืองและสังกัปทางการเมือง
1) ปรัชญาการเมือง
(Political Philosophy) เฮนรี บี เมโย (Henry B.
Mayo, 1960) ให้ความหมายว่า หมายถึงหลักจริยธรรมซึ่งถือเป็นแนวทางในการกำหนดนโยบายสังคม
ปรัชญาทางการเมืองเป็นเสมือนหลักการหรือเหตุผลหรือความยึดมั่นของรัฐ หรือถ้าจะอธิบายอีกแง่หนึ่ง
ปรัชญาทางการเมืองเป็นเสมือนรากฐานของระบบการเมือง ระบบการเมืองทั่วไปแต่ละแบบก็มักจะมีปรัชญาการเมืองของตัวเองที่เหมาะสมกับความต้องการและสิ่งแวดล้อม
(อ้างจากจรูญ สุภาพ, 2522)
สมพงษ์ เกษมสิน
ได้ให้ความหมายของปรัชญาการเมืองไว้ว่า ปรัชญาการเมือง (Political
Philosophy) เป็นการศึกษาการเมืองในระดับลึกซึ้งและเกี่ยวโยงกับสาขาอื่นด้วย
เพื่อให้รู้แจ้ง ปรัชญาการเมืองมักเน้นหลักจริยธรรมซึ่งเป็นเสมือนหลักการหรือเหตุผลที่ถูกต้องและมีคุณธรรม
ถือเป็นรากฐานของระบบการเมืองแต่ละแบบ ปรัชญาการเมือง “อาจมีลักษณะที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์
คือเป็นข้อคิดที่อาจพิสูจน์ไม่ได้ และมุ่งค้นหาสิ่งต่างๆ หรือหาความสัมพันธ์ต่างๆในส่วนที่วิทยาศาสตร์เข้าไปไม่ถึง”
(อ้างจากสุขุม นวลสกุลและโกศล โรจนพันธุ์, 2544)
จรูญ สุภาพ (2528) ได้ให้ความหมายของปรัชญาการเมืองอีกนัยหนึ่งว่า
ปรัชญาการเมือง หมายถึง จินตนาการหรือการคาดการณ์ต่างๆ หรือ
ความปรารถนาที่จะกำหนดลักษณะในด้านการเมืองและการปกครองที่ดีที่สุดและสมบูรณ์ที่สุด ดังนั้น ปรัชญาทางการเมืองจึงอาจไม่เป็นวิทยาศาสตร์
เพราะสิ่งที่ปรากฏในปรัชญาการเมืองมักจะเน้นถึงจินตนาการหรือความมุ่งหวัง
หรือความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะให้บรรลุถึงซึ่งความสมบูรณ์แบบแห่งการเมืองและการปกครอง ปรัชญาทางการเมืองมุ่งค้นหาสิ่งต่างๆ
หรือหาความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งต่างๆ ในส่วนที่วิทยาศาสตร์เข้าไปไม่ถึง
ความคิดทางการเมือง (Political Thought)
จรูญ สุภาพ (2522) ได้ให้ความหมายว่า
ความคิดทางการเมือง หมายถึงความคิดความเชื่อของมนุษย์กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งในยุคใดยุคหนึ่ง
แนวความคิด ลัทธิการเมืองที่สำคัญๆ ในปัจจุบันนี้เกิดขึ้นจาก แนวความคิดของบุคคลที่มีสติปัญญา สามารถนำเอาความรอบรู้ ประสบการณ์
และข้อสังเกตเกี่ยวกับปรากฏการณ์ของสังคม เช่น พฤติกรรมของบุคคล ความปรารถนา
ความต้องการ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่อยู่ในสังคมเดียวกัน
ความร่วมมือหรือความขัดแย้งกัน รวมตลอดถึงปัจจัยที่ก่อให้เกิดความสงบสุข
หรือปัญหาต่างๆที่ทำให้หลักประกันในชีวิตของบุคคลต้องเสื่อมคลายลง ทำให้เกิดความไม่มั่นคงในการดำรงชีวิต
นอกจากนั้น ก็เป็นข้อคิดเกี่ยวกับการมีและการใช้อำนาจการปกครองในสังคมว่าควรจะเป็นไปในแนวใด
เพื่อให้บังเกิดผลหรือประโยชน์สูงสุดต่อบรรดาผู้เป็นสมาชิกแห่งสังคมนั้น
สุขุม
นวลสกุลและโกศล โรจนพันธุ์ (2544) ได้ให้ความหมายของความคิดทางการเมืองว่า
ความคิดทางการเมือง หมายถึง ความคิดที่เกี่ยวกับเรื่องการเมืองอย่างกว้างๆ ความคิดทางการเมืองที่ใช้ตามนัยแห่งภาษาอังกฤษ
เป็นเสมือนยาหม้อใหญ่ที่รวมหลายๆอย่างเข้าด้วยกัน ความคิดทางการเมืองมีแนวโน้มไปในทางด้านพรรณนา
(Descriptive) และมักเน้นหนักความคิดเชิงประวัติศาสตร์ คือเรียงลำดับว่าใครคิดอย่างใด
เมื่อใด ปกติไม่ค่อยมีการแยกหัวข้อวิเคราะห์
อุดมการณ์ทางการเมือง
(Political
Ideology)
อุดมการณ์ทางการเมืองมักใช้ในรูปความเชื่อและความคิดในระดับที่ไม่ลึกซึ้งนัก เน้นความเชื่อศรัทธามากกว่าเหตุผล
แต่อุดมการณ์ทางการเมืองมีผลในการยึดถือและมักเป็นพลังผลักดันให้เกิดการกระทำ หรือความเคลื่อนไหวทางการเมือง
อุดมการณ์ไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือยึดหลักศีลธรรมและคุณธรรม แต่เป็นความคิดหรือความเชื่อที่ปลูกฝังเพื่อให้เกิดผลทางการเมือง
(สุขุม นวลสกุลและโกศล โรจนพันธ์ (2544)
C. J. Friedrich and
Z. K. Brzinski (1961) ได้ให้ความหมายว่า อุดมการณ์ทางการเมืองเป็นเสมือนเป้าหมาย
หรืออุดมคติทางการเมืองที่เป็นพลังผลักดันให้มนุษย์มีพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง
หรือปฏิบัติการอย่างใดๆ เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมาย (อ้างจาก จรูญ สุภาพ, 2522)
สมบัติ จันทรวงศ์ (2527) ได้ให้ทรรศนะไว้ว่า
อุดมการณ์ทางการเมือง (Political Ideology) ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า
เป็นความคิดทางการเมืองที่มุ่งผลในทางปฏิบัติ
ไม่ว่าจะเป็นการปกปักรักษาระบบการเมืองอย่างที่เป็นอยู่ หรือการวิพากษ์ระบบที่เป็นอยู่
เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงและการเกิดของระบบใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความคิดทางการเมืองที่มีฐานอยู่บนความเชื่อที่ว่า
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสถาบันทางสังคมเสียใหม่ให้สมบูรณ์ จะยังผลให้มนุษย์บรรลุถึงความสมบูรณ์ได้โดยอัตโนมัติ
ลัทธิการเมือง (Political Ism)
ชัยอนันต์ สมุทวณิช ได้ให้ความหมายไว้ว่า ลัทธิการเมือง (Political Ism) ได้แก่ หลักการทางการเมืองซึ่งมีลักษณะผสมผสานจากความคิดหรือทฤษฎีของเมธีหลายท่านประกอบกันเป็นแนวความคิดเกี่ยวกับระบบการเมือง
ชี้แนะและการจัดวางอำนาจ, โครงสร้างทางการเมือง, ความเกี่ยวพันระหว่างองค์กรที่ใช้อำนาจกับบุคคล และประโยชน์คุณค่าที่จะบังเกิดขึ้นในการปฏิบัติตามลัทธิ
อย่างไรก็ตาม “ลัทธิการเมืองหนึ่งๆ
อาจนำเอาความคิดจากปรัชญาการเมืองหลายความคิดมาผสมผสานกันก็ได้ หรือปรัชญาการเมืองหนึ่งๆ อาจก่อนให้เกิดลัทธิการเมืองมากกว่าหนึ่งลัทธิได้”
(อ้างจากสุขุม นวลสกุล และโกศล โรจนพันธุ์, 2544)
จรูญ สุภาพ (2528) ได้ให้ความหมายลัทธิการเมืองไว้ว่า
ลัทธิการเมือง หมายถึงแนวความคิดเกี่ยวกับระบบการเมือง โดยมุ่งอธิบายสาระสำคัญแห่งระบบการเมือง
อันได้แก่ อำนาจทางการเมืองและอำนาจของรัฐ ขอบเขต ที่มา
ที่ตั้งของอำนาจดังกล่าวนี้ และความเกี่ยวพันระหว่างองค์การหรือหน่วยงานที่ใช้อำนาจรัฐกับบุคคล
ซึ่งเป็นองค์ประกอบแห่งรัฐนั้น ตลอดถึงผลประโยชน์และคุณค่าที่จะบังเกิดขึ้นต่อบุคคล
ซึ่งรวมกันขึ้นเป็นสังคมหรือชุมชน
ดังนั้น
จึงปรากฏว่าลัทธิบางลัทธิสนับสนุนให้อำนาจรัฐหรืออำนาจทางการเมืองมีมาก ซึ่งมีผลทำให้สิทธิและบทบาทของประชาชนมีน้อยลง
แต่บางลัทธิได้สนับสนุนให้บทบาทและอำนาจของบุคคลมีมากและมุ่งจำกัดอำนาจทางการเมืองหรืออำนาจรัฐไม่ให้มากจนเกินไป
ผลที่เกิดขึ้นก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและบุคคลจึงมีลักษณะแตกต่างกันออกไปตามแบบลัทธิที่ได้เกิดขึ้น
ที่สำคัญก็คือ ทุกลัทธิมีเหตุผลที่จะสนับสนุนคุณประโยชน์แห่งลัทธิ ซึ่งหมายถึงคุณค่าที่อาจเกิดขึ้นได้จากการใช้ลัทธินั้นในการกำหนดวิถีชีวิตความเป็นอยู่ร่วมกันของมนุษย์ในสังคมเสมอ
จะเห็นได้ว่าลัทธิการเมืองนั้นเป็นผลมาจากเหตุผลหลายประการดังกล่าวแล้วข้างต้น
ลัทธิการเมืองอาจนำเอาแนวความคิดหลายแนว ปรัชญาการเมือง ทฤษฎีการเมืองหลายส่วนมาผสมผสานกันได้
หรืออาจเกิดขึ้นจากแนวความคิดเดียวหรือปรัชญาการเมืองเดียวก็ได้ นอกจากนั้น
แนวความคิดและปรัชญาการเมืองบางอย่างซึ่งมีสาระที่ลึกซึ้ง กว้างขวาง มีเหตุผล
หรือเป็นความจริง ก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดลัทธิการเมืองแบบต่างๆได้เช่นกัน ดังจะเห็นได้ว่าปรัชญาการเมืองบางประการ
เช่น ปรัชญาในเรื่องเสรีภาพของบุคคล
จะปรากฏให้เห็นเนื้อหาสาระสำคัญของลัทธิการเมืองแบบปัจเจกชนนิยม เสรีนิยม
อนาธิปไตย และสังคมนิยมแบบประชาธิปไตย
สังกัปทางการเมือง (Political Concepts)
สุขุม
นวลสกุลและโกศล โรจนพันธุ์ (2544) ได้ให้ความหมายไว้ว่า สังกัปทางการเมือง
หมายถึงความคิดหรือทรรศนะเกี่ยวกับศัพท์เชิงนามธรรมทางการเมือง เช่น ความยุติธรรม,
จุดมุ่งหมายแห่งรัฐ, ผู้ปกครองที่ดี, สิทธิ, ความมั่นคงแห่งรัฐ เป็นต้น ศัพท์เหล่านี้มีความหมายไปหลายทางตามความเข้าใจหรือการพิจารณาของแต่ละคน
ทฤษฎีการเมืองเป็นการพยายามหาความเกี่ยวโยงระหว่างสังกัปต่างๆ
ดังกล่าวโดยให้ต้องด้วยเหตุผลและความเหมาะสม
แนวความคิดที่เกี่ยวข้องกับทฤษฎีการเมือง
จรูญ สุภาพ (2528) ได้กล่าวถึงแนวความคิดที่มีความเกี่ยวข้องกับทฤษฎีการเมืองไว้ดังนี้
คือ ทฤษฎีการเมืองมุ่งให้หลักเกณฑ์เกี่ยวกับเรื่องที่สำคัญดังต่อไปนี้
1. กลุ่ม
หมายถึง กลุ่มอิทธิพลที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวของบุคคล
2. ดุลยภาพ
หมายถึง สภาวะที่สามารถดำรงอยู่ได้
3. อำนาจ
การควบคุม และอิทธิพล ปัจจุบันถือว่าเป็นแนวความคิดที่สำคัญอย่างยิ่งในทฤษฎีการเมือง
4. การดำเนินการหรือการปฏิบัติการ
หมายถึง พฤติกรรมของบุคคลหรือกลุ่มในสภาวการณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อนำไปสู่จุดหมายปลายทางที่มุ่งหวัง
5. ชนชั้นนำ
หมายถึง กลุ่มผู้นำหรือชั้นผู้นำ ซึ่งจะต้องปรากฏอยู่ในทุกระบบการเมือง
6. การตัดสินใจ
ถือเป็นแนวความคิดพื้นฐานประการหนึ่งในทางการเมือง ระบบ
กระบวนการและผลของการตัดสินใจนั้นเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงลักษณะแห่งระบบการเมืองต่างๆ
ได้
7. ปฏิกิริยาและเกม หมายถึง การกระทำที่มีลักษณะโต้ตอบต่อการกระทำใดๆ
เป็นการศึกษาในทำนองคาดคะเนว่าปฏิกิริยาโต้ตอบควรจะเป็นประการใด แนวความคิดในข้อนี้ถือได้ว่า
เป็นแนวความคิดในระบอบรองของแนวความคิดที่เกี่ยวกับการตัดสินใจ
8. หน้าที่
หมายถึง การมุ่งศึกษาถึงหน้าที่หรือการดำเนินงานเพื่อให้บังเกิดผล
หน้าที่เหล่านี้บางครั้งก็อาจจะมีผลกระทบต่อสังคม
หรือบางทีอาจเป็นสิ่งที่สนับสนุนสังคมนั้นได้ เช่น หน้าที่ของความเชื่อ
แบบแผนแห่งพฤติกรรม สถาบัน และวิทยาศาสตร์
แนวความคิด (8
ประการ) ดังกล่าวข้างต้นนี้ นับเป็นเรื่องใหม่ในทฤษฎีการเมือง แต่แนวความคิดที่มีอยู่เดิมของทฤษฎีการเมืองนั้นก็ยังมีความสำคัญอยู่
เช่น สถาบัน รัฐบาล เสรีภาพ ความยุติธรรม ความเสมอภาค อำนาจอธิปไตย
และลักษณะสำคัญสากลของมนุษย์ เป็นต้น
กล่าวโดยสรุป
ทฤษฎีการเมืองช่วยให้วิชาการปกครองหรือวิชารัฐศาสตร์มีลักษณะเป็นปึกแผ่น มีกฎเกณฑ์และแน่นอนมากขึ้น ผลจากทฤษฎีการเมืองนี้เป็นรากฐานที่สำคัญประการหนึ่งที่ช่วยให้ลัทธิการเมืองได้ก่อรูปขึ้น
และสร้างเสริมให้ลัทธิการเมืองมีขอบเขตกว้างขวาง ทั้งในด้านสาระเนื้อหา รวมตลอดจนเป็นสิ่งที่ช่วยให้ลัทธิการเมืองนำมาใช้เป็นประโยชน์เพื่อกำหนดระบบการเมืองแห่งลัทธิการเมืองนั้นๆ
ข้อคิดจากทฤษฎีการเมืองจึงถือเสมือนเป็นข้อมูลและหลักเกณฑ์สำคัญประการหนึ่งที่ช่วยเสริมสร้างลัทธิการเมืองให้บังเกิดขึ้นได้
หน้าที่ของทฤษฎีการเมือง
ทินพันธุ์
นาคะตะ (2541)
ได้กล่าวถึงหน้าที่ของทฤษฎีการเมืองในปัจจุบันไว้ดังนี้ หน้าที่ของทฤษฎีการเมืองปัจจุบัน
ที่สำคัญๆ ควรมีดังนี้ คือ
ประการแรก
ช่วยรวบรวมความรู้ต่างๆ เข้าด้วยกัน โดยทำหน้าที่เป็นกรอบแห่งแนวความคิด
ที่ช่วยกำหนดความหมาย และจัดระเบียบข้อมูล เกี่ยวกับปรากฏการณ์ต่างๆ ที่มีอยู่มากมาย
รวมทั้งช่วยให้เกิดความเข้าใจปรากฏการณ์ทางการเมืองต่างๆได้ดีขึ้น
ประการที่สอง
ช่วยจัดลำดับความสำคัญเร่งด่วน เกี่ยวกับเรื่องที่จะทำการศึกษาวิจัยกันต่อไป โดยใช้เป็นเกณฑ์ในการมองปัญหาและตัวแปรต่างๆ
ประการที่สาม
ช่วยเป็นแนวทางสำหรับการจัดระเบียบ และการวิเคราะห์ข้อเท็จจริงต่างๆ ในรูปของคำกล่าวเกี่ยวกับสิ่งที่ได้ค้นพบกันแล้ว
เป็นการประมวลความรู้ต่างๆ
ประการที่สี่
ช่วยให้มีแนวความคิดที่ทดสอบได้เกี่ยวกับโลกแห่งความเป็นจริง และประการสุดท้าย ช่วยให้มีกรอบแห่งแนวความคิด มีเครื่องมือสำหรับการวิเคราะห์
รวมทั้งมีตัวแบบสำหรับการมองตัวแปรต่างๆ ในจำนวนที่จำกัด
จุดมุ่งหมายของทฤษฎีการเมือง
จรูญ สุภาพ (2528)
ได้กล่าวไว้ดังนี้ จุดมุ่งหมายของทฤษฎีการเมือง
ทฤษฏีการเมืองเสนอแนะเกี่ยวกับจุดหมายปลายทางของรัฐหรือการปกครองได้ด้วย จุดหมายปลายทางนี้เป็นเรื่องสำคัญ เช่น ทฤษฎีการเมืองจะให้แนวความคิดดังนี้
ความหมายของวัตถุประสงค์และจุดหมายปลายทางของการปกครอง โอกาสที่จะเข้าถึงจุดหมายปลายทางดังกล่าว การลงทุน
หรือ “ราคา” ของการที่จะได้มาซึ่งจุดหมายปลายทางที่ได้กำหนดขึ้น รวมตลอดถึงผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นผลที่ตามมา
จากการดำเนินการเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ รวมทั้งการเสี่ยงภัยต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการปฏิบัตินั้น
ปรากฏการณ์ ที่อาจจะเกิดขึ้นเนื่องมาจากการกระทำเพื่อให้เข้าถึงซึ่งจุดหมายปลายทาง
ประโยชน์ของทฤษฎีการเมือง
สมพงศ์ เกษมสิน (2519) ได้กล่าวถึงประโยชน์ของทฤษฎีการเมืองไว้ว่า ปัจจุบันนี้ทฤษฎีการเมืองวิวัฒนาการมาสู่รูปแบบที่มีลักษณะการใช้หลักเกณฑ์การพิสูจน์ทฤษฎีหรือสมมติฐานที่ตั้งขึ้น
โดยวิธีการแบบวิทยาศาสตร์
ใช้วิธีการวิจัยจากข้อมูลที่รวบรวมตามหลักการ ทำให้ผลลัพธ์หรือข้อสรุปมีความแม่นยำมากขึ้น แม้จะไม่แน่นอนเหมือนกับทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ
(Nature Science) แต่ก็นับว่ามีความถูกต้องสูงกว่าวิธีการแบบเดิมที่ใช้เพียงวิธีการสังเกตการณ์และเปรียบเทียบ
เพราะฉะนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า ทฤษฎีการเมืองมีคุณค่าที่สำคัญอีกประการหนึ่ง
คือช่วยให้วิชาการปกครองหรือวิชารัฐศาสตร์มีลักษณะเป็นปึกแผ่น มีกฎเกณฑ์และแน่นอนมากขึ้น
ลอเรนซ์ ซี. แวนลาสส์
(Lawrence
C. Wanlass, 1953) กล่าวถึงคุณค่าและประโยชน์ของทฤษฎีการเมือง
ดังนี้
1. ทฤษฎีการเมืองช่วยให้คำจำกัดความที่ถูกต้องแก่ศัพท์ทางการเมือง
เช่น คำว่า เสรีภาพ, ประชาธิปไตย, ฯลฯ คำจำพวกนี้นิยมใช้กันโดยทั่วไปไม่เฉพาะแต่นักศึกษารัฐศาสตร์เท่านั้น
ทฤษฎีการเมืองสอนให้รู้ซึ้งถึงความหมายที่แท้จริงของศัพท์เฉพาะเหล่านี้
ซึ่งจะมีส่วนช่วยเป็นอย่างมากในการแสดงโวหารทางการเมือง โน้มน้าวความคิดเห็นของผู้อื่น
2. ทฤษฎีการเมืองมีส่วนช่วยอย่างมากในการทำให้เข้าใจประวัติศาสตร์
เพราะนำผู้ที่ศึกษาให้เข้าสู่บรรยากาศความคิดในสมัยก่อน
ช่วยให้เข้าใจถึงพลังผลักดันที่ก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวหรือเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่สำคัญๆ
เพราะเหตุที่ว่าปรากฏการณ์ในอดีตเป็นผลมาจากการกระทำของมนุษย์ จึงเป็นการจำเป็นที่จะต้องทราบถึงความคิดที่ชักจูงให้เกิดการกระทำนั้น
เช่น การที่จะเข้าใจถ่องแท้ถึงประวัติศาสตร์โลกสมัยกลาง (Middle Ages) นั้น
จำเป็นต้องทราบถึงการพิพาทแย่งความเหนือกว่าในการปกครองคนระหว่างจักรพรรดิกับสันตปาปา
เป็นต้น
3. ความรู้ในความคิดทางการเมืองแห่งอดีตนั้นมีส่วนช่วยให้เข้าใจถึงการเมืองในสมัยปัจจุบัน
เพราะปัญหาทางการเมืองในปัจจุบันล้วนเกิดขึ้นจากสถานการณ์ในอดีต หรืออาจเทียบเคียงได้กับปรากฏการณ์ในอดีต
และหลักการเมืองต่างๆ ที่นำมาใช้เป็นผลจากวิวัฒนาการของความคิดทางการเมืองสมัยก่อนเช่น
ทฤษฎีการแบ่งแยกอำนาจในระบบการปกครองของสหรัฐอเมริกา มีรากฐานมาจากความคิดของเมธีการเมืองสมัยกลาง
เป็นต้น
4. ทฤษฎีการเมืองสอนให้มีความเข้าใจในนโยบายและการปรับปรุงโครงร่างทางการปกครอง
เพราะประเทศทุกประเทศต้องมีหลักการอันเกิดจากปรัชญาการเมืองใดปรัชญาหนึ่งเป็นสิ่งนำรัฐบุรุษและประชาชน
ในการวางนโยบายหรือปฏิรูปการปกครอง ความก้าวหน้าหรือประสบความสำเร็จของระบบการเมืองในประเทศเป็นผลมาจากการวางโครงร่างการปกครองอยู่ทฤษฎีการเมืองที่เหมาะสมกับสภาพการณ์
และความต้องการของประเทศนั้น
5. คุณค่านอกเหนือไปจากที่กล่าวมาแล้ว
ได้แก่ การที่ทฤษฎีการเมืองเป็นเสมือนตัวแทนแสดงให้เห็นถึงความรุ่งโรจน์แห่งอาณาจักรทางปัญญาในสมัยต่างๆ
รัฐในอุดมคติหรือเลิศนครแห่งจินตนาการล้วนแต่เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์และความพยายามที่จะใช้ความรู้ความเฉลียวฉลาดเสนอแนะรูปแบบที่ดีที่สุดแห่งการปกครอง
(อ้างจากสุขุม นวลสกุล และโกศล โรจนพันธุ์, 2544)
สรุป ทฤษฎีการเมืองโบราณมีลักษณะเป็นปรัชญาการเมืองมากกว่า
เพราะเป็นการเน้นรูปแบบการเมืองในลักษณะของอุดมคติ อุดมการณ์ แนวคิด การศึกษาวิเคราะห์
โดยยึดหลัก จริยธรรมและคุณธรรมของผู้ปกครองว่าที่ดีที่สุดหรือที่เลวที่สุดเป็นอย่างไร
รูปแบบการปกครองที่พึงประสงค์และไม่พึงประสงค์เป็นอย่างไร โดยเกิดจากการศึกษา
ค้นคิดขึ้นมาเองของนักปราชญ์เป็นส่วนมาก โดยไม่ได้มีการศึกษาทดสอบ
วิเคราะห์ในเชิงวิทยาการที่เป็นที่ยอมรับได้ในหลักการว่า ถูกต้องเที่ยงตรง
เพียงแต่อาศัยความมีชื่อเสียงและน่าเชื่อถือของเจ้าของแนวความคิดเท่านั้น
ก็นำไปสู่แนวทางการปฏิบัติ ซึ่งผลที่ตามมาจึงเกิดการเมืองการปกครองในหลากหลายรูปแบบหลายระบบ
และหลายลัทธิ ซึ่งการศึกษาทฤษฎีการเมืองในสมัยโบราณนี้จึงมีลักษณะเหมาะที่จะเป็นการศึกษาปรัชญาหรือประวัติศาสตร์มากกว่ารัฐศาสตร์
การศึกษาทฤษฎีการเมืองสมัยใหม่เริ่มจากหลังสงครามโลกครั้งที่สองมีความเป็นทฤษฎีมากขึ้น
มีความน่าเชื่อถือค่อนข้างมีความเที่ยงตรงตามหลักวิธีการทางวิทยาศาสตร์มากขึ้น
การแสวงหาข้อเท็จจริงและการวิเคราะห์ข้อเท็จจริงโดยวิธีทางศาสตร์
การสร้างทฤษฎีทางการเมือง จึงยึดหลักความเป็นจริงที่เป็นผลมาจากการวิจัย
จึงมีข้อเท็จจริง หลักการและคุณค่า น่าจะเป็นเหตุผลเพียงพอที่จะใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติได้
อย่างไรก็ตามแม้ทฤษฎีการเมืองจะใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการสร้างทฤษฎี แต่ไม่อาจถือว่าเป็นวิทยาศาสตร์แบบวิทยาศาสตร์ธรรมชาติได้
เพราะข้อเท็จจริงของพฤติกรรมทางการเมืองนั้นเปลี่ยนแปลงได้ ต่างจากข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ ซึ่งมีความเที่ยงตรง อาจพิสูจน์ได้ตลอดเวลา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น