ทฤษฎีชนชั้นนำ
เรียบเรียงโดย
วชิรวัชร งามละม่อม
Wachirawachr Ngamlamom
วิลเฟร โด
พาเรโต และเกตาโน มอสกา (Vilfredo Pareto & Gaetano Mosca) กล่าวว่าหลักการพื้นฐานของชนชั้นนำคือ
ความเหนือกว่าของบุคคลผู้ซึ่งจะขึ้นมาเป็นชนชั้นนำ โดยพาเรโต เชื่อว่า
คนที่เป็นชนชั้นนำจะต้องมีความฉลาดที่เหนือกว่า คุณลักษณะเชิงจิตวิทยา
คือสิ่งที่เป็นพื้นฐานของชนชั้นนำปกครอง พาเรโตเชื่อว่า การเปลี่ยนแปลงทางสังคมครั้งสำคัญจะเกิดขึ้นเมื่อชนชั้นนำคนหนึ่งขึ้นมาแทนที่ชนชั้นนำคนเดิม
คือกระบวนการหมุนเวียนของชนชั้นนำ (Circulation of Elites) คือชนชั้นนำทุกคนจะต้องค่อยๆ
เสื่อมลง สูญเสียความเข้มแข็งของตนเอง เมื่อเป็นดังนี้
ผู้นำที่ปกครองด้วยกำลังจะสูญเสียจินตนาการและความหลักแหลมในการดำรงรักษาไว้ซึ่งหลักการและการปกครองตนเอง
สิ่งที่แตกต่างกันระหว่างพาเรโตและมอสกาคือ
พาเรโตชื่อว่าคุณลักษณะที่จำเป็นสำหรับชนชั้นปกครองเหมือนกันในทุกๆ เวลา
แต่มอสกาเชื่อว่า คุณลักษณะดังกล่าว เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละสังคมเช่น
ในบางสังคมความกล้าหาญและความเป็นนักรบในการต่อสู้อาจเป็นปัจจัยหลักที่นำไปสู่การเป็นชนชั้นนำ
ในขณะที่บางสังคม ทักษะ
และความสามารถที่จะนำมาซึ่งความมั่งคั่งเป็นสิ่งที่ถูกพิจารณามากกว่า
ซี ไรท์ มิลลส์
(Mills,
1956) ได้เสนอทฤษฎีชนชั้นนำ
โดยเชื่อว่า ชนชั้นนำปกครอง (Elite Ruler) เป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
โดยการว่า ชนชั้นปกครองอยู่บนฐานของการหาผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่
เพราะแท้ที่จริงแล้วผลประโยชน์ของชนชั้นนำและคนส่วนใหญ่แตกต่างกัน
และสิ่งนี้ได้สร้างศักยภาพที่เป็นความขัดแย้งระหว่างคน 2 กลุ่ม
กลุ่มหนึ่งอยู่ที่ยอดสุดของลำดับขั้นที่ทำการผูกขาดอำนาจ โดย 3 สถาบันหลัก คือ
บริษัทขนาดใหญ่ การทหาร และรัฐบาลสหพันธ์รัฐ
ผลประโยชน์และกิจกรรมของชนชั้นนำจากสถาบันหลักเหล่านี้
มีความเหมือนกันและเกี่ยวพันกัน สร้างชนชั้นนำอำนาจ (Power Elite) ชนชั้นนำอำนาจมีความเกี่ยวข้องกับความสอดคล้องกันของอำนาจทางการเมือง การทหาร
การเศรษฐกิจ
มิลล์เรียกผู้นำทางการเมืองว่า “นายทหารของชนชั้นนำทางเศรษฐกิจ”
Lieutenants of the Economic Elite) จากลักษณะชนชั้นนำ 3 สถาบัน
และลักษณะชนชั้นนำของประเทศสหรัฐอเมริกา มิลลส์
เห็นว่านำไปศึกษาในสภาพสังคมของสหราชอาณาจักรได้ โดยงานวิจัยพบว่า คนส่วนใหญ่ที่อยู่ในตำแหน่งชนชั้นนำของประเทศ
เป็นประชากรที่มีภูมิหลังที่มีอภิสิทธิ์ในสังคมสูง เช่น นักการเมือง ผู้พิพากษา
ข้าราชการระดับสูง ข้าราชการทหารระดับสูง และกรรมการบริหารทั้งในบริษัทขนาดใหญ่
และธนาคารสำคัญๆ นอกจากนี้ยังมีระดับการคัดสรรตนเองของชนชั้นนำขึ้นคือบุตรของสมาชิกที่เป็นชนชั้นนำถูกคัดโดยตนเองเพื่อไปสู่ตำแหน่งชนชั้นนำ
สิ่งที่พบคือ ความเหมือนกันของเบื้องหลังทางการศึกษา อ้างใน (รุ้งนภา ยรรยงเกษมสุข,
ชนชั้นนำในการเมืองไทยปัจจุบัน, 2550)
ชนชั้นนำ หรือ Elite นิยามในกรณีสังคมไทย
คือสถาบันตามประเพณี ซึ่งก็เปลี่ยนแปลง หมายความว่า
สมัยหนึ่งอาจจะดำรงฐานะเป็นชนชั้นนำแต่ว่าในเวลาต่อมาก็อาจจะเปลี่ยน เช่น
เป็นต้นว่า สถาบันสงฆ์ สมัยหนึ่งอยู่ในสถานะชนชั้นนำในทางวัฒนธรรมอย่างชัดเจน
ปัจจุบัน อิทธิพลหรือบทบาทในฐานะชนชั้นนำของสถาบันสงฆ์ก็ค่อนข้างน้อย
สถาบันพระมหากษัตริย์กับพระบรมวงศานุวงศ์ ก็เป็นชนชั้นนำแน่นอน
ก็ยังดำรงสถานะชนชั้นนำอยู่ แต่ธรรมชาติในการนำอาจจะเปลี่ยนไป
แต่ก็ยังเป็นหนึ่งที่สำคัญในกลุ่มชนชั้นนำของสังคมไทย
เพราะฉะนั้นมีการขยายตัวของสถาบัน
และที่สำคัญไม่ได้จำกัดอยู่แต่เฉพาะพระมหากษัตริย์กับพระบรมวงศานุวงศ์เท่านั้น
รวมทั้งถึงสิ่งที่อาศัยบารมีในสถาบันฯ เช่น พนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
ซึ่งไม่ใช่สถาบันกษัตริย์
แต่ความรู้สึกของคน
ก็คือเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันฯ ไปด้วย ในการที่จะต้องปฏิบัติต่อสำนักงานนี้
องคมนตรี เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง องคมนตรีเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันพระมหากษัตริย์แน่นอน
แต่จริงๆ แล้วในทางกฎหมายก็ไม่มีอำนาจอะไรเลย
เป็นผู้ที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามพระราชอัธยาศัย
แล้วก็ไม่มีบทบาทในทางการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น แต่ว่าในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่
รวมทั้งเครือข่ายที่ไม่เป็นทางการทั้งหลาย เพราะฉะนั้นมันก็เป็นภาพที่ขยายตัวกว้างขึ้นในฐานะที่เป็นชนชั้นนำ
อีกกลุ่มหนึ่งที่ควรจะพูดถึง คือ ทุนขนาดใหญ่ที่ร่วมอยู่ในกลุ่มชนชั้นนำแน่ๆ
ซึ่งเข้ามาเชื่อมโยงกับพระมหากษัตริย์ด้วย
เข้ามาเชื่อมโยงกับกลุ่มอำนาจในทางการเมืองด้วย
กลุ่มหนึ่งต่อมาคือกลุ่มข้าราชการระดับสูง
ถึงแม้ว่าประเทศไทยไม่ได้เป็นแบบที่เขาเรียกว่า “รัฐราชการ” แล้วก็ตาม
แต่ว่าสัดส่วนในการบริหาร ไม่ใช่การวางนโยบาย
ของกลุ่มข้าราชการระดับสูงมีค่อนข้างมาก
เพราะข้าราชการคือผู้วางโครงการหรือวางแนวให้กับนักการเมืองอีกทีหนึ่ง กล่าวคือ
นักการเมืองเข้ามาปกครองประเทศไม่ว่าจะมาจากพรรคใด มักจะมามือเปล่าๆ
มากกว่าจะมีนโยบาย แล้วก็มาดูว่าราชการที่ตัวเองเข้าไปเป็นรัฐมนตรี
มีโครงการอะไรบ้าง ก็เลือกหยิบโครงการเหล่านั้นมาผลักดัน
หรือมาดำเนินการโดยให้งบประมาณ เพราะฉะนั้นคนที่คิดนโยบายตั้งแต่แรก
ไม่ว่าจะสร้างเขื่อน หรือสร้างถนน หรืออะไรก็แล้วแต่
คำตอบคือข้าราชการระดับสูงเป็นคนทำ
แน่นอนว่าปัจจุบันนี้ข้าราชการระดับสูงปัจจุบันนี้ในระบบราชการถูกนักการเมืองไม่ว่าจะมาจากการเลือกตั้งหรือรัฐประหาร
ควบคุม หรือสั่งการ หรือ Overrule อะไรที่อยู่เหนือความต้องการของระบบอบราชการได้โดยเฉพาะสมัยที่คุณทักษิณเป็นนายกฯจะเห็นได้ชัดเจนมาก
ทำให้ข้าราชการต้องโอนอ่อนต่ออำนาจในทางการเมืองมากขึ้น กลุ่มข้าราชการระดับสูง
ยึดระบบราชการทั้งหมด ถามว่ามีผลประโยชน์ของตนเองไหม ผมว่ามี
ด้วยเหตุดังนั้นก็มีความจำเป็นที่จะต้องรักษาผลประโยชน์ของตนเองในระบบการ
เมืองด้วย
จุดอ่อนของระบบราชการไทยคือมีแต่ผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม
แต่สำนึกกลุ่มมีน้อย คือ ข้าราชการไม่ได้สำนึกว่าตัวเป็นกลุ่มเดียวกับข้าราชการ
ความสำนึกร่วมของความเป็นข้าราชการมีน้อย แต่ว่ามีผลประโยชน์ของตนเองที่ค่อนข้างเด่นชัด
ในที่นี้คนที่อยู่ในราชการคงทราบ ไม่ว่าจะเป็นการรักษาพยาบาล ฯลฯ
มันเป็นผลประโยชน์ที่กลุ่มข้าราชการสำนึกได้ว่ามีอยู่ในระบบราชการ
แต่ว่าสำนึกร่วมในความเป็นข้าราชการด้วยกันไม่สูงมากนัก ทั้งหมดเหล่านี้
กลุ่มชนชั้นนำทั้งหมดเหล่านี้ คือกลุ่มคนที่มีเสียงดังที่สุดในสังคม
เพราะฉะนั้นจึงเป็นกลุ่มที่กุมการนำของสังคมมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นการนำในทางการเมือง
การนำในทางเศรษฐกิจ การนำในทางสังคมและวัฒนธรรมอะไรก็แล้วแต่
และก็หวงแหนการนำนี้ค่อนข้างมาก เพราะว่ามันมีผลประโยชน์หลากหลายชนิด
ผูกพันอยู่กับการนำมากทีเดียว (นิธิ
เอียวศรีวงศ์, 2554)
กล่าวโดยสรุป
ลักษณะของชนชั้นนำ Elite จะมีความแตกต่างจากคนส่วนใหญ่ (Mass) คือ 1) ชนชั้นนำเป็นคนกลุ่มจำนวนน้อย แต่มีอำนาจต่อคนส่วนใหญ่
และเป็นผู้ทำหน้าที่จัดสรรสิ่งที่มีคุณค่าในสังคม 2)
คนจำนวนน้อยแต่ไม่ใช่ตัวแทนของปวงชนที่แท้จริง แต่ถูกคัดมาจากชนชั้นในระดับสูง 3)
ค่านิยมของชนชั้นนำ กลายเป็นค่านิยมพื้นฐานของสังคมที่คนส่วนใหญ่ตั้งเป็นเป้าหมาย
อยากจะได้และอยากจะเป็น ชนชั้นนำจะปกป้องค่านิยมนี้ 4) ชนชั้นนำจะมีความเข้มแข็ง
ไม่ค่อยได้รับอิทธิจากคนส่วนใหญ่ แต่คนส่วนใหญ่จะได้รับอิทธิพลจากชนชั้นนำ 5)
นโยบายของรัฐบาลไม่ได้สะท้อนความต้องการคนส่วนใหญ่
แต่จะสะท้อนความต้องการของคนชั้นนำมากกว่า การเปลี่ยนแปลงนโยบายจะค่อยเป็นค่อยไป
6) การเคลื่อนย้ายสังคมส่วนใหญ่สู่สังคมชนชั้นนำ จะเป็นไปอย่างช้างๆ แต่ต่อเนื่อง
โดยคนส่วนใหญ่จะเข้าไปในชนชั้นนำได้นั้น ก็ต่อเมื่อยอมรับกฎ กติกา
มาตรฐานของกลุ่มชนชั้นนำ โดยชนชั้นนำจะไม่ปรับตัวเข้าหากลุ่มคนส่วนใหญ่
สำหรับสังคมไทย
ประเทศไทยปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย วางหลักการไว้ว่าประชาชนทุกคนมีสิทธิ เสรีภาพ
และได้รับความคุ้มครอง มีความเสมอภาคเท่าเทียมกันภายใต้กฎหมาย ไม่ว่าชายหรือหญิง
แต่ในความเป็นจริงโดยธรรมชาติ จะมีคนบางคนที่มีศักยภาพเหนือกว่าคนทั่วไป
ที่เป็นคนจำนวนน้อยในสังคมที่มีการแสดงออกในการเป็นผู้นำทำให้บุคลิกลักษณะที่แตกต่างจากคนทั่วไป
ที่เราเรียกว่าชนชั้นนำ แม้ทุกวันนี้เราเป็นสังคมประชาธิปไตย แต่การแบ่งชนชั้นยังเกิดขึ้น
โดยโลกแห่งทุนนิยมมีเศรษฐกิจเป็นตัวขับเคลื่อนทางสังคมและโครงสร้างทางเศรษฐกิจเป็นตัวชี้วัดและแบ่งชนชั้นทางสังคม
โดยแบ่งคนออกเป็น ชนชั้นสูง ชนชั้นกลาง และชนชั้นล่าง
โดยที่ประชาชนแต่ละคนจะถูกจัดอยู่ในชั้นไหน นั้นวัดได้จากความมั่งคั่งร่ำรวย
เงินเดือน รายได้ การศึกษา ฐานะ ตำแหน่งหน้าที่การงานและชาติตระกูล ชนชั้นสูง เช่น
นักการเมือง นักธุรกิจ ข้าราชการชั้นสูง หรือขุนนางเก่า ชนชั้นกลาง พนักงาน
ข้าราชการทั่วไป ชนชั้นล่าง เช่น คนหาเช้ากินค่ำ กรรมกร เกษตรกร ชาวนา
ที่มีฐานะยากจน มีการศึกษาน้อยเป็นต้น แต่การเปลี่ยนแปลงทางชนชั้นเป็นได้โดยมีลักษณะค่อยเป็นค่อยไป
ถ้าบุคคลนั้นมีฐานะที่ดีขึ้น มีการศึกษาที่สูงขึ้นจนได้รับการยอมรับจากสังคม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น