ทฤษฎีระบบราชการ (Bureaucracy System
Theory) ของ Max Weber
เรียบเรียงโดย
วชิรวัชร งามละม่อม
Wachirawachr Ngamlamom
เมื่อประเทศไทยปฏิรูประบบราชการเมื่อครั้งสมัยรัชกาลที่
5 สมัยนั้นก็ได้นำทฤษฎีที่โด่งดังของ แมกซ์ เวเบอร์ (Max Weber) มาใช้ในการบริหารจัดการงานราชการแผ่นดิน
ในยุคนั้นคนไทยจึงติดปากเรียกรูปแบบระบบอย่างนี้ว่าระบบราชการตั้งแต่สมัยนั้นมายันสมัยนี้
ทั้งๆที่ฝรั่งเจ้าตำรับเค้าเรียกว่า Bureaucracy System Theory ระบบนี้อาจจะเหมาะสมกับราชการในยุคนั้น เพราะขนาดของราชการยังไม่ใหญ่โตมโหฬารอย่างในยุคนี้
ที่มีบุคลากรราชการถึงสามล้านกว่าคน
ระบบนี้ใช้การตัดสินใจเป็นแบบรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ส่วนกลาง
ปัจจุบันงานราชการจึงล่าช้าเป็นใส้เดือนเพราะช้ากว่าเต่า
รัฐบาลช่วงหลังๆก็คิดว่าควรจะต้องปฏิรูปกันอีกสักครั้ง แต่ก็ล้มลุกคลุกคลานไม่เป็นท่าเพราะติดที่เรื่องของผลประโยชน์
ที่ถูกวางและจัดสรรกันอย่างลงตัวมาเกือบร้อยปี รัฐบาลยุคผู้นำดิจิตอลก็ฟันธงว่า
ทฤษฎีที่จะเอามาปฏิรูปครั้งใหม่นี้ คือ E-Government หากมีโอกาสผมจะมาเล่าให้ฟัง ตอนนี้ขอคุยเรื่อง Bureaucracy
ก่อน ซึ่งมีรายละเอียดของทฤษฎีดังนี้ครับ
คัดและพัฒนาคน
ระบบนี้จะใช้วิธีสรรหาและคัดเลือกบุคลากรด้วยระบบคุณธรรม
(Merit
System) คือวัดกันที่ความรู้ความสามารถเพรียวๆ มีการสอบ
บรรจุแต่งตั้งกันอย่างเป็นระบบ คนเก่งได้ทำงาน คนห่วยต้องกลับไปนอนบ้าน
เมื่อเข้ามาทำงานแล้ว จะมีแผนในการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาบุคลากรอย่างเป็นระบบ
ว่าช่วงนี้ต้องรู้เรื่องนี้
เมื่อเวลาผ่านไปทำงานสูงขึ้นก็ควรจะต้องผ่านการฝึกอบรมเพื่อต้องรู้เรื่องนั้นอย่างนี้เป็นต้น
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเช่นสายทหาร จะเป็นทหารได้นั้นต้องผ่านการสรรหา สมัคร
สอบคัดเลือก บรรจุแต่งตั้ง เมื่อทำงานจนก้าวหน้าไปถึงจุดหนึ่งก็จะต้องได้รับการฝึกอบรมเรื่องนั้น
เมื่อทำงานมีอายุงานสูงขึ้นไปอีกระดับหนึ่งก็ต้องไปอบรมหลักสูตรที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ
อย่างนี้เป็นต้น
สายบังคบบัญชาชัดเจน
ระบบนี้จะออกแบบสายการบังคับบัญชาอย่างชัดเจน
ว่างานนี้มีกี่ฝ่าย ฝ่ายนี้มีกี่แผนก แผนกนี้มีกี่หมวด ซอยให้เล็กลงไปเรื่อยๆ
แล้วในทุกส่วนของงานก็จะถูกวางบุคลากรเพื่อเข้าไปทำงาน เพื่อผลักดันงานในส่วนนั้นๆ
ให้สำเร็จ เมื่อเฟืองตัวเล็กๆ ทำงาน เฟืองที่ใหญ่ขึ้นก็จะหมุนไปตามระดับชั้นของการบังคับบัญชา
กฎระเบียบเคร่งครัด
ในงานแต่ละอย่างนั้น
ระบบนี้จะมีกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด ว่างานนี้คุณต้องทำอย่างไร? เมื่อเสร็จแล้วคุณต้องเอางานไปให้ใคร?
ในเวลาไม่เกินเท่าไร? หากผิดพลาดจะมีบทลงโทษกันอย่างเป็นระบบ
ตั้งแต่ ว่ากล่าวตักเตือน พักงาน ให้ออก ไล่ออก อะไรทำนองนี้
กฎอย่างนี้พอเอามาใช้กับลูกหลานไทยที่ทำงานข้าราชการ
พี่แกก็เลยพยายามไม่ทำอะไรที่เกินหน้าที่ หรือที่คลุมเครือๆ ว่าเป็นงานของใครก็จะไม่ทำ
เพราะถือคติที่ว่า ทำมากย่อมมีโอกาสผิดมากแล้วจะซวยมาก
ราชการไทยจึงได้เจริญรุ่งเรืองอย่างที่คุณกับผมได้เห็นอยู่ทุกวันนี้นี่แหละ
ทำงานตามความชำนาญ
ง่ายๆ
ใครรู้เรื่องอะไรก็ไปทำงานอย่างนั้น
ดังนั้นเวลาจัดสอบบรรจุเค้าจึงเอาวุฒิการศึกษามาเป็นตัวกำหนด โดยตั้งสมมุติฐานว่า
คุณจบด้านนี้คุณน่าจะทำงานด้านนี้ได้ เช่น คุณจบกฎหมายหรือรัฐศาสตร์คุณน่าจะทำงานปกครองได้
คุณจบครูคุณน่าจะสอนในโรงเรียนเป็น แต่ก็นั่นแหละครับพอมาเจอพี่ไทย
กลับเลือกงานตามผลประโยชน์ งานไหนพอจะได้กินตามน้ำบ้าง งานนั้นข้าจะทำ ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ไม่ได้ถนัดงานตรงนั้นสักเท่าไร
คุณจึงได้เห็นคนซื่อบื้อเต็มอำเภอและศาลากลาง
เน้นงาน
รูปแบบองค์การแบบ
Bureaucracy
จริงๆ นั้นจะต้องออกแบบโดยเอางานเป็นตัวตั้งแล้วจึงหาคนที่มีความรู้ความสามารถที่เหมาะสมกับงานนั้นๆ
มารับผิดชอบงานกำหนดโดยไม่เน้นพวกพ้อง
แต่ระบบนี้ปัจจุบันเอามาบริหารจัดการกับประเทศไทยแล้วไม่เวริ์ค
ทั้งนี้อาจเป็นเพราะราชการไทยในปัจจุบันไม่ค่อยมีคุณธรรมแต่จะเต็มไปด้วยระบบอุปถัมภ์ซะมากกว่างาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น